วันพฤหัสบดีที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2554

Open Access Journal Publishers

กระบวนวิชา 009304 สิ่งพิมพ์อิเล็กทรอนิกส์

สรุปเรื่อง Open Access Journal Publishers


ประจำวันที่ 30 มิถุนายน พ.ศ.2554

___________________________________

Open Access Journal Publishers  มีการจัดทำในรูปแบบต่างๆ ดังนี้
  1. Born-OA Publishers
    เป็นการจัดทำ OA Journal โดยที่ไม่เคยผ่านการตีพิมพ์มาก่อน และไม่ผ่านการจัดทำเป็นวารสารเชิงพาณิชย์ที่หวังผลกำไร มีการใช้สัญญาอนุญาตลงไปในงานเพื่อให้ผู้ใช้ทราบว่าเป็นผลงานที่สามารถเข้าถึงได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย และมีการจัดทำเป็นแบบสาธารณะ จึงเป็นการจัดทำโดยที่ไม่หวังผลกำไร
  2. Conventional Publishers
    เป็นวารสารเชิงพาณิชย์หรือแบบดั้งเดิมที่มีการตีพิมพ์ผ่านสำนักพิมพ์เพื่อจัดจำหน่ายโดยหวังผลกำไร มีนโยบายเปิดเป็น OA มากขึ้น หากนักเขียนต้องการให้ผลงานของตนเองเป็นที่รู้จักสามารถนำผลงานของตนมาตีพิมพ์กับสำนักพิมพ์ได้ตามความต้องการ 
  3. Non-Traditional Publishers
    เป็นวารสารที่จัดทำโดยนักวิชาการซึ่งไม่หวังผลกำไร จึงไม่ใช่เป็นการจัดทำโดยนำผลงานไปตีพิมพ์ลงในวารสารเชิงพาณิชย์ผ่านสำนักพิมพ์ซึ่งจะมีวัตถุประสงค์ในการจัดทำเพื่อการค้าหรือหวังผลกำไร ดังนั้นจึงเป็นการจัดทำในระดับสถาบันหรือหน่วยงานซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายทั้งหมด ซึ่งการจัดทำวารสารในรูปแบบนี้ควรได้รับการส่งเสริมให้มีการจัดทำเป็นแบบ OA เพื่อให้สามารถเข้าถึงได้ง่ายและไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น 
  4. Hybrid Publishers
    เป็นการจัดทำในรูปแบบของ OA โดยผู้จัดทำผลงานเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายเอง เพื่อให้บทความของผู้เขียนได้ตีพิมพ์ผ่าน OA Journal


    ลักษณะของ Open access Journal (OAJ)
    (1)เป็นเอกสารวิชาการ (Schorlarly) ประกอบด้วยบทความวิจัย ปริทัศน์ บทวิจารณ์หนังสือ บทความวิชาการ
    (2)มี Peer-Review หรือผ่านการตรวจสอบโดยผู้ทรงคุณวุฒิ จึงมีความน่าเชื่อถือ ผู้ใช้สามารถเข้าถึงได้ฟรี เนื่องจากมีการเปิดให้เข้าถึงได้อย่างสาธารณะ
    (3)เป็นเอกสารที่อยู่ในรูปแบบดิจิทัล เพื่อประหยัดพื้นที่ในการจัดเก็บ สามารถเข้าถึงได้อย่างรวดเร็ว และมีความยั่งยืน สามารถปรับเปลี่ยนรูปแบบได้ตลอดเวลา
    (4)สามารถเข้าถึงได้ฟรี ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย
    (5)ผู้เขียนสามารถใช้สัญญาอนุญาต Public Domain เพื่อยกให้เป็นสาธารณสมบัติ ทุกคนสามารถเข้าถึงและสามารถนำเอกสารไปใช้ได้โดยไม่ต้องขออนุญาตจากเจ้าของก่อน
    (6)นิยมใช้สัญญาอนุญาตแบบครีเอทีฟคอมมอน (Creative Commons License) ร่วมกับสัญญาอนุญาตอื่นๆ ได้ เช่น สัญญาอนุญาตเอกสารเสรีของกนู (GNU Free Documentation License) Free Art License  เป็นต้น
    ***สำหรับสัญญาอนุญาต Creative Commons นั้นสามารถกำหนดสิทธิในการนำไปใช้งานของผู้ใช้ได้ ซึ่งผู้ใช้ต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขที่เจ้าของผลงานได้กำหนดไว้

    การทำ OA ในประเทศไทย
    จะพบว่าได้มีการจัดทำ OA ในประเทศไทย แต่ยังมีผู้ใช้อีกเป็นจำนวนมากที่ไม่รู้จักเกี่ยวกับการดำเนินงานในการจัดทำ OA ทั้งนี้ควรจะเป็นหน้าที่ของสถาบันการศึกษาหรือห้องสมุดตามหน่วยงาน สถาบัน หรือองค์กรต่างๆ ควรจะมีการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจัดทำ OA ให้เป็นที่รู้จักมากยิ่งขึ้น อาจมีการจัดทำเว็บบอร์ดเพื่อเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับ OA ให้ผู้ใช้ได้ทราบมากยิ่งขึ้น เนื่องจากใช้เป็นแหล่งที่ใช้ในการจัดเก็บรวบรวมองค์ความรู้ของหน่วยงาน องค์กร หรือสถาบันต่างๆ เพื่อจะเป็นประโยชน์ในการนำความรู้ไปต่อยอดหรือพัฒนาให้มีคุณภาพมากยิ่งขึ้น

วันจันทร์ที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2554

กระบวนวิชา 009355 สิ่งพิมพ์อิเล็กทรอนิกส์

สรุปเรื่อง รูปแบบการนำเสนอ Self-Archiving

ประจำวันที่ 27 มิถุนายน พ.ศ.2554
________________________________


รูปแบบการทำ OA Publishing

  1. Green OA : OA Publishing or Repositories
    -คลังจัดเก็บเอกสารหรือบทความใดๆ ในระดับสถาบันที่สามารถเก็บข้อมูลได้อย่างมั่งคงถาวร มีความยั่งยืน ทุกคนสามารถเข้าถึงได้ เนื่องจาก มีการเผยแพร่ความรู้เป็นสาธารณะหรือแบบเปิด ซึ่งอาจเป็นความร่วมมือภายในสถาบันหรือระหว่างสถาบันในการจัดทำ หรืออาจเป็นความร่วมมือภายในสถาบันที่มีการจัดทำสาขาวิชาเดียวกันก็ได้ ส่วนมากเน้นในการจัดเก็บพวกเอกสารที่หาได้ยาก 
  2. Gold OA : OA Journal
    -
    เป็นการจัดทำในรูปดิจิทัล หรือ Electronic Journal ซึ่งมีรูปแบบในการให้บริการแบบออนไลน์เป็นส่วนใหญ่ จะไม่นับรวม Grey Literature ซึ่งผู้เขียนจะเป็นผู้จ่ายค่าดำเนินการในการจัดทำเอง หากต้องการให้บทความของตนเป็นที่แพร่หลาย สำหรับในการสืบค้นนั้นหากเป็น OA Journal จะสามารถให้ข้อมูลที่มีความสัมพันธ์เกี่ยวเนื่องกันและตรงกับความต้องการมากกว่า Journal ที่จัดทำโดยการเผยแพร่ผ่านเว็บไซต์

รูปแบบการนำเสนอ Self-Archiving 
  • Author's Personal Websites
    เป็นเว็บไซต์ส่วนบุคคลของผู้เขียน ซึ่งมีการจัดทำขึ้นมาแล้วสามารถเผยแพร่เว็บไซต์ของตนเองผ่านทางอินเตอร์เน็ตได้ ส่งผลให้สามารถสืบค้นโดยใช้ Search Engine ได้ ก่อให้เกิดความสะดวกในการเข้าถึงข้อมูลได้ง่าย เนื่องจากสามารถเผยแพร่ได้ดี ก่อให้เกิดการแพร่หลาย อีกทั้งผู้จัดทำสามารถทำการนำเข้า แก้ไขปรับปรุง หรือทำฉบับปรับปรุงด้วยตนเองได้ โดยมีการจัดทำในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ เช่น HTML , WORD , PDF เป็นต้น หากมีการนำเอาข้อมูลของผู้จัดทำอื่นๆ มาใช้ต้องมีการอ้างอิงถึงด้วย รวมทั้งผู้จัดทำต้องมีการใส่สัญญาอนุญาตลงไปในผลงานด้วย มิเช่นนั้นอาจทำให้ผู้ใช้เกิดความสับสนว่าเป็นงานที่มีลิขสิทธิ์ได้
  • Disciplinary  Archives
    เป็นคลังจัดเก็บเอกสารระดับสถาบันที่มีการจัดเก็บเฉพาะสาขาวิชา นิยมใช้ Open Source Software เนื่องจาก มีหลักการในการเผยแพร่เพื่อเปิดให้เป็นสาธารณะ ซึ่งโปรแกรมที่นิยมใช้ เช่น E-Prints , DSpace เป็นต้น ซึ่งจะมีการจัดเก็บผลงานของผู้เขียนจากทั่วโลกมารวมไว้ในที่เดียวกัน โดยอาศัยความร่วมมือในระดับสถาบัน องค์กร หรือหน่วยงานต่างๆในการจัดทำ อาจจะมีการจัดทำโดยประเทศใดประเทศหนึ่งก็ได้ ไม่จำเป็นต้องเป็นการจัดทำจากหลายๆ ประเทศทั่วโลก
  • Institutional-Unit Archives
    เป็นการจัดเก็บข้อมูลของหน่วยงานย่อย ภายใต้สถาบันหรือองค์กรนั้นๆ มีการจัดทำในรูปแบบเว็บไซต์ส่วนบุคคลที่นำเอาแนวความคิดแบบ Open Source Software จากรูปแบบการจัดทำแบบ Disciplinary Archives มาใช้ในการจัดทำได้
  • Institutional Repositories
    เป็นคลังจัดเก็บข้อมูลที่เกิดจากความร่วมมือของสถาบันในการจัดทำ ซึ่งการจัดทำนั้นจะมีการรวบรวมเอกสารในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ เช่น E-Print , E-Theses โดยการจัดทำนั้นมีการเผยแพร่ให้เป็นสาธารณะหรือแบบเปิด เพื่อให้ทุกคนสามารถเข้าถึงได้ ก่อให้เกิดการจัดเก็บรวบรวมความรู้ที่หลากหลายมากยิ่งขึ้น จึงจำเป็นต้องมีผู้จัดการดูแล ซึ่งส่วนมากจะเป็นห้องสมุดในระดับสถาบันการศึกษาใหญ่เป็นผู้ดูแล ส่งผลให้มีการเพิ่มจำนวนของคลังจัดเก็บสารสนเทศระดับสถาบันมากขึ้น    

วันพฤหัสบดีที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2554

คำที่ควรทราบ

กระบวนวิชา 009304

สรุปเรื่อง  Self-Archiving & Imprementing Open Access

ประจำวันที่  23  มิถุนายน  พ.ศ.2554
________________________________

คำที่ควรทราบ
--------------------
Self-Archiving



  1. Preprint (ฉบับสำเนาหรือฉบับก่อนพิมพ์)
    -Draft = ฉบับร่าง
    -เป็นฉบับร่างหรือต้นฉบับของข้อเขียนหรือบทความที่ยังไม่ผ่านการประเมินคุณค่าหรือการตรวจสอบโดยผู้ทรงคุณวุฒิ
    -มีการเขียนเพื่อวัตถุประสงค์ในการส่งตีพิมพ์ในวารสาร เพื่อช่วยกันตรวจสอบหรือแก้ไขปรับปรุงในการนำส่งตีพิมพ์ก่อนนำส่งสำนักพิมพ์
  2. Postprint (ฉบับแก้ไขสมบูรณ์ หรือฉบับที่จะนำมาจัดพิมพ์)
    -เป็นฉบับสมบูรณ์ที่จะนำมาใช้การตีพิมพ์ อาจเป็นฉบับที่สำนักพิมพ์นำมาตีพิมพ์หรือปรับปรุงจากฉบับ Preprint ผู้เขียนปรับปรุงระหว่างรอการประเมินคุณภาพอยู่ในระหว่างการดำเนินงานขอรับการตีพิมพ์
    -ถ้านำไปจัดทำเป็นอิเล็กทรอนิกส์จะเรียกว่า E-Print
  3. Grey Literature (เอกสารหายาก)
    -เป็นเอกสารหายาก เป็นเอกสารที่ไม่มีการเผยแพร่หรือตีพิมพ์โดยทั่วไป มักเผยแพร่เฉพาะกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเท่านั้น มีการตีพิมพ์ในจำนวนที่จำกัดหรือในปริมาณที่น้อย เนื่องจาก มีการเผยแพร่เฉพาะกลุ่ม ไม่มีการตีพิมพ์เพื่อจัดจำหน่ายทางการค้า ไม่ได้ผลิตโดยสำนักพิมพ์เชิงพาณิชย์ หรือไม่เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ทางธุรกิจ ซึ่งเป็นเอกสารที่บุคคลทั่วไปไม่สามารถสืบค้นได้ โดยปกติแล้วจะเป็นงานประเภทรายงานของหน่วยงาน เอกสารการทำงาน เอกสารทางธุรกิจที่จัดทำโดยองค์กรทางธุรกิจ เอกสารการประชุม (Proceeding) หรืออื่นๆ มีการประเมินตรวจสอบเพื่อควบคุมคุณภาพในการจัดทำ มีทั้งที่เป็นเอกสารที่ตีพิมพ์และแผ่นซีดีแทนการแจกหนังสือเป็นเล่ม รวมทั้งอาจมีการเผยแพร่บนอินเทอร์เน็ต ในการจัดทำไม่ได้จัดทำเพื่อธุรกิจหรือการค้าเชิงพาณิชย์

    White Papers (เอกสารเผยแพร่เจตจำนง ความรู้ ความคิดเห็นของตนเอง)

    - จัดทำโดยบุคคลหรือกลุ่มบุคคลที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านจัดทำบทความขึ้นมาเพื่อนำเสนอผลของการพัฒนาในทางธุรกิจ ในการแจ้งให้กับสังคมได้ทราบถึงความเคลื่อนไหวในการจัดทำผลงานทางด้านวิชาการ หรือสิ่งที่ได้มีการค้นคว้าจัดทำซึ่งอยู่ในระหว่างการดำเนินงานและจัดทำอยู่ ถือเป็นการให้การศึกษาแก่ประชาชนทั่วไป  ไม่ใช่เป็นสิ่งที่ใช้ในการโฆษณา เนื่องจากมีการจัดทำขึ้นมาโดยอิงกับข้อเท็จจริงหรือข้อมูลที่อาศัยความจริงปรากฏอยู่ในนั้นด้วย

  4. Errata / Corrigenda
    -เป็นฉบับที่ผู้แต่งได้มีการปรับปรุงแก้ไขให้ถูกต้องด้วยตัวของผู้เขียนเอง โดยไม่ต้องมีใครบอกให้แก้ไขในภายหลัง
Imprementing Open Access


  1. Green OA / OA Archives or Repositories
    -เป็นแหล่งจัดเก็บข้อมูล โดยจัดเก็บข้อมูลด้วยตนเองภายในเว็บไซต์แล้วทำการเผยแพร่บนอินเตอร์เน็ต มีการควบคุมดูแลโดยผู้เขียนหรืออาศัยบรรณารักษ์เพื่อช่วยในการจัดการดูแล
  2. Gold OA / OA Journal
    -เป็นวารสารที่เปิดโอกาสให้เข้าถึงบทความได้ทันทีหลังจากที่ส่งตีพิมพ์แล้ว

วันพฤหัสบดีที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2554

Open Access (OA)

กระบวนวิชา 009304  การพิมพ์อิเล็กทรอนิกส์

สรุปเรื่อง Open Acess (OA)

ประจำวันที่  16  มิถุนายน  พ.ศ.2554
__________________________________


เอกสารเปิดสาธารณะ (Open Access : OA)
---------------------------------------------------

  • เป็นแนวคิดเปิดเป็นสาธารณะ  สามารถเข้าถึงได้อย่างเสรี
  • ไม่จำกัดสิทธิในการใช้  โดยอนุญาตให้ผู้ใช้สามารถกระทำการเชื่อมโยง คัดลอก  ถ่ายโอนไปใช้  ทำการแจกจ่าย  การทำสำเนา  ทำการดัดแปลง  และนำไปใช้เพื่อการค้าได้โดยไม่ต้องขออนุญาต
  • เอกสารเปิดสาธารณะจะเน้นบทความการวิจัยหรือวิชาการในรูปแบบดิจิทัลที่ให้บริการบนอินเตอร์เน็ต
  • ปัจจุบันครอบคลุมวิทยานิพนธ์  เอกสารการประชุม  เอกสารการสอน  รายงาน  สิ่งพิมพ์รัฐบาล
  • เอกสารเปิดสาธารณะจะไม่หมายรวมถึงนวนิยาย  บทความในนิตยสาร  รวมถึงเว็บไซต์  เช่น  Wikis , Blogs ที่เปิดให้เข้าดูได้  เพราะมีรูปแบบที่เปิดเนื้อหาให้อ่านได้เป็นสาธารณะ  แต่ผู้จัดทำจะยังคงความเป็นเจ้าของเนื้อหาที่ไม่อนุญาตให้นำไปใช้  ยกเว้นมีการแจ้งว่าเป็นเอกสารเปิดสาธารณะ
  • แนวคิดเริ่มเกิดขึ้นในประเทศสหรัฐอเมริกา  จากกลุ่มนักวิชาการสายวิทยาศาสตร์  (Natural Sciences)


ข้อดีของการจัดทำเอกสารเปิดสาธารณะ
----------------------------------------------------
  • แนวคิดการจัดทำเอกสารเปิดสาธารณะเป็นสิ่งที่ทำประโยชน์ให้กับสังคม  หรือที่เรียกว่า  Public Goods  เนื่องจาก  ทุกคนสามารถเข้าถึงสิ่งเหล่านี้ได้โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย  ช่วยทำให้เกิดการกระจายองค์ความรู้ได้อย่างทั่วถึง  อีกทั้งทุกคนสามารถเข้าถึงได้ทุกที่ทุกเวลาตามที่ต้องการ  
  • สามารถนำไปเผยแพร่สู่สาธารณะได้อย่างรวดเร็ว   ก่อให้เกิดการพัฒนาต่อยอดความรู้ได้เร็วขึ้น  ย่อมช่วยให้โลกสามารถพัฒนาได้รวดเร็วมากขึ้นตามไปด้วย
  • การจัดทำเอกสารเปิดสาธารณะสามารถเผยแพร่ขึ้นสู่อินเตอร์เน็ตได้อย่างรวดเร็ว  ก่อให้เกิดการกระจายความรู้ใหม่ๆสู่ผุ้อ่านได้เร็วมากขึ้น  ความรู้ที่เผยแพร่ย่อมมีความทันสมัย  ทันต่อเหตุการณ์ในปัจจุบัน  หากเป็นสิ่งพิมพ์  กว่าจะได้มีการจัดพิมพ์ก็ต้องใช้ระยะเวลานาน  ส่งผลให้ความรู้ถึงผู้อ่านได้ช้า  ความรู้ที่ผู้อ่านได้รับจึงกลายเป็นความรู้ที่ล้าหลังไปแล้วเป็นเวลาหลายปี
  • ความรู้สามารถเผยแพร่สู่ผู้อ่านได้ทันทีอย่างรวดเร็ว  ทำให้ผู้อ่านได้รับความรู้ใหม่ๆได้ทันที
  • มีความรวดเร็วในการจัดทำ  เนื่องจากสามารถจัดทำได้ง่ายและสามารถปรับปรุงแก้ไขได้ในภายหลัง


สรุปเกี่ยวกับลักษณะของเอกสารเปิดสาธารณะ
----------------------------------------------------------


  • สัญลักษณ์มีลักษณะเป็นตัวอักษร C  กลับหัวแสดงว่าเป็นงานสาธารณะ (Copyleft)  ซึ่งจะตรงข้ามกับสัญลักษณ์ของ Copyright ซึ่งเป็นงานที่สงวนลิขสิทธิ์ในการเผยแพร่
  • แต่เดิมนั้นเอกสารเปิดสาธารณะ  หมายถึง  บทความทางด้านวิชาการในรูปแบบดิจิทัลที่ให้บริการบนเครือข่ายอินเตอร์เน็ตเท่านั้น
  • ปัจจุบันครอบคลุมถึงวิทยานิพนธ์  เอกสารสัมมนา  การประชุม  เอกสารการสอน  และสื่อโสตทัศนวัสดุ  เช่น  วิดีโอ  เพลง  ภาพ
  • เกิดแนวคิดปฏิเสธการนำผลงานของนักวิชาการไปเป็นสินค้าขายเป็นกำไรของบริษัท  ทุกผลงานที่นำไปขายต้องนำเสนอให้เป็นสาธารณะ
  • เอกสารเปิดสาธารณะมีแนวคิดที่สำคัญ  คือ  สิทธิหรือลิขสิทธิ์ยังเป็นของผู้เขียน  มีกฎหมายลิขสิทธิ์ครอบคลุม  ผู้เขียนหรือผู้จัดทำสิ่งพิมพ์ต้องทำการอนุญาต  โดยมี  License  อนุญาตให้นำไปทำได้อย่างไรได้บ้าง  เช่น  Copy  ทำสำเนา  ดัดแปลง  อนุญาตสิทธิบางประการให้กับผู้ใช้ที่นำผลงานไปใช้
  • การนำไปใช้งานขึ้นอยู่กับว่าผู้ที่เป็นเจ้าของอนุญาตให้นำผลงานไปใช้ได้อย่างไรได้บ้าง  โดยที่เมื่อนำไปใช้แล้วไม่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อผู้เป็นเจ้าของ  ซึ่งอาจจะมีการจำกัดสิทธิบางประการหากมีการนำไปใช้งาน

พัฒนาการที่ทำให้เกิดเอกสารเปิดสาธารณะ
------------------------------------------------------
  • E-Publishing  มีการจัดทำสิ่งพิมพ์อิเล็กทรอนิกส์เพิ่มมากขึ้น  เนื่องจาก  การจัดทำสิ่งพิมพ์อิเล็กทรอนิกส์สามารถเผยแพร่ข้อมูลได้ง่ายและสะดวกรวดเร็วกว่าสิ่งพิมพ์  สามารถเข้าถึงได้ทุกที่ทุกเวลา  ทุกคนสามารถเข้าถึงได้อย่างเท่าเทียมกัน  และเข้าถึงได้พร้อมกันทีละหลายคน  อีกทั้ง  ยังมีราคาถูกกว่า  นับเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายของห้องสมุดได้เป็นอย่างดี 
  • The Internet  ช่วยส่งเสริมให้เกิดการพัฒนาเอกสารสาธารณะมากยิ่งขึ้น  เนื่องจาก  การทำสิ่งพิมพ์อิเล็กทรอนิกส์สามารถจัดทำได้ง่ายและใช้ต้นทุนต่ำในการจัดทำ  รวมทั้งสามารถนำเสนอเพื่อเผยแพร่ผลงานทำได้อย่างสะดวกและรวดเร็ว  โดยไม่ต้องอาศัยสำนักพิมพ์เป็นตัวกลางในการเผยแพร่ผลงาน
  • The Prices of Journals ในปัจจุบันห้องสมุดประสบกับปัญหาราคาวารสารสิ่งพิมพ์สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง  ห้องสมุดจึงเลือกที่จะบอกรับวารสารสิ่งพิมพ์ที่เป็นอิเล็กทรอนิกส์แทน  เพื่อช่วยประหยัดค่าใช้จ่าย  อีกทั้งยังช่วยประหยัดค่าจัดส่งสิ่งพิมพ์  ค่ากระดาษในการตีพิมพ์สิ่งพิมพ์  รวมถึงช่วยในการประหยัดพื้นที่ในการจัดเก็บสิ่งพิมพ์  เพราะ  อาศัยคอมพิวเตอร์ในการจัดเก็บ  และคอมพิวเตอร์สามารถจัดเก็บข้อมูลได้เป็นจำนวนมาก  นอกจากนี้ยังไม่ต้องเสียค่าดูแลรักษาความปลอดภัยของวารสารสิ่งพิมพ์  ค่าใช้จ่ายในการดูแลบำรุงรักษาสิ่งพิมพ์  ซึ่งสามารถชำรุดเสียหายได้ง่าย  และที่สำคัญช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในการสั่งซื้อสิ่งพิมพ์เข้าห้องสมุด  เนื่องจาก  การบอกรับฐานข้อมูลที่จัดเก็บสิ่งพิมพ์อิเล็กทรอนิกส์มีราคาถูกกว่าสิ่งพิมพ์ที่ตีพิมพ์ 

วันจันทร์ที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2554

Institutional Repositories and Trend E-Publishing

กระบวนวิชา  009304  การพิมพ์อิเล็กทรอนิกส์

สรุปเรื่อง  Institutional Repositories & Trend E-Publishing

ประจำวันที่  13  มิถุนายน  พ.ศ.2554
________________________________

Institutional  Repositories (IR)
-------------------------------------------------



  • ความหมายของ  Institutional  Repositories (IR)
    Institutional  Repositories (IR)  หมายถึง  คลังจัดเก็บข้อมูล  หรือ  คลังจัดเก็บเอกสารในระดับสถาบัน
  • คุณลักษณะที่สำคัญของการเป็นคลังเก็บสารสนเทศระดับสถาบันต้องประกอบไปด้วย 
    (1)มีเนื้อหาที่เป็นดิจิทัล (Digital Content)  ซึ่งหมายความว่า  ในระบบของการจัดเก็บสารสนเทศในระดับสถาบันต้องมีการเก็บผลงานในรูปแบบที่เป็นดิจิทัลเท่่านั้น  เนื่องจาก  การจัดทำคลังเก็บสารสนเทศระดับสถาบันจะต้องนำมาจัดทำเป็นอิเล็กทรอนิกส์
    (2)การจัดทำคลังจัดเก็บสารสนเทศระดับสถาบันจะเน้นการจัดเก็บในส่วนของสมาชิกในสถาบันเท่านั้น 
    (3)เนื้อหาที่นำมาจัดเก็ลในคลังเก็บสารสนเทศระดับสถาบันนั้นจะเน้นการจัดเก็บเนื้อหาทางวิชาการ (Scholarly Content) ในการมุ่งเน้นให้เป็นคลังเก็บสารสนเทศระดับสถาบัน เพื่อให้เกิดการรวบรวม  สงวนรักษา  และเผยแพร่ผลงานทางวิชาการในรูปแบบที่อาจจะเป็นผลงานก่อนตีพิมพ์  และผลงานที่อยู่ในระหว่างการดำเนินงาน  รวมถึงบทความที่อยู่ในระหว่างการพิจารณา  หนังสือ  สื่อการสอน  ชุดข้อมูล  บทความเสนอการประชุม  วิทยานิพนธ์อิเล็กทรอนิกส์  และวรรณกรรมที่ไม่นำมาตีพิมพ์  ซึ่งในการข้าถึงเนื้อหาทางวิชาการเหล่านี้  จำเป็นที่จะต้องผ่านการควบคุมและการจัดการ  รวมทั้งอาศัยนโยบายและกลไกที่เหมาะสม  รวมไปถึงการบริหารจัดการด้านเนื้อหาและระบบการควบคุมเอกสาร (Document Version Control Systems) กรอบนโยบายและโครงสร้างพื้นฐานทางเทคนิคของคลังเก็บต้องเอื้ออำนวยให้ผู้จัดการคลังเก็บมีความยืดหยุ่นต่อการควบคุมระบบ  มีการมุ่งเน้นว่าใครเป็นผู้ที่สามารถรองรับ (Approve) เข้าถึง (Access) แก้ไข (Update) ผลงานดิจิทัลเหล่านั้นที่มีแหล่งที่มาแตกต่างกัน
    (4)การเป็นคลังจัดเก็บสารสนเทศในระดับสถาบันจะต้องมีการรวบรวมผลงานเข้าคลังจัดเก็บ  เมื่อนำเข้าแล้วก็ไม่ควรที่จะนำออกจากคลังจัดเก็บ  เว้นแต่ในกรณีที่มีเหตุจำเป็น  อาจจะมีเหตุเนื่องมาจากผลงานที่นำมาจัดเก็บนั้นได้ละเมิดสิขสิทธิ์  เป็นต้น  จึงต้องมีการพัฒนากฎเกณฑ์และนโยบาย รวมท้งนำระบบการจัดการสิทธิ์เข้ามาประยุกต์ใช้เพื่อให้ได้รับการอนุญาตให้สามารถเข้าถึงเนื้อหาในคลังเก็บทั้งจากภายในและภายนอกหน่วยงาน  อีกทั้งต้องมีการจัดการระบบการสงวนรักษาผลงาน  เพือให้สามารถเข้าถึงได้ในระยะยาว  โดยที่ไม่ถูกจำกัดในเรื่องของระยะเวลาได้  นับว่าเป็นการช่วยเพิ่มจำนวนของผลงานให้มีความหลากหลายมากขึ้นในสถาบันและยังเป็นสิ่งที่แสดงถึงความยั่งยืนของสถาบันได้เป็นอย่างดี
    (5)มีความร่วมมือในการทำงานเพื่อให้เกิดการเข้าถึงได้อย่างเสรีโดยไม่ถูกปิดกั้น (Interoperable and open  access)  ซึ่งเป็นคุณลักษณะที่สำคัญของการเป็นคลังจัดเก็บสารสนเทศในระดับสถาบัน  ซึ่งจะช่วยลดปัญหาในการเข้าถึงให้น้อยที่สุด  
  • สรุปลักษณะของคลังเก็บสารสนเทศระดับสถาบัน
    -เป็นการจัดเก็บความรู้ที่อยู่ในองค์กรหรือหน่วยงานภายในประเทศนั้นๆ
    -เป็นการจัดเก็บที่ห้องสมุดร่วมมือกันจัดทำคลังจัดเก็บความรู้เพื่อจัดเก็บองค์ความรู้ที่มีอยู่ภายในแต่ละห้องสมุด  เช่น  หนังสือ  เอกสารสัมมนา  รายงานการประชุมวิชาการ  สื่อการสอน  การวิจัย  วิทยานิพนธ์  เป็นต้น
    -แต่เดิมการจัดเก็บความรู้อยู่ในรูปของสิ่งพิมพ์ (Printed Material)  แล้วนำมาสแกนให้อยู่ในรูปของสิ่งพิมพ์อิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Plublishing) เพื่อให้ง่ายต่อการใช้งานมากขึ้น  สามารถเข้าถึงได้ง่าย  สะดวกและรวดเร็ว  เข้าถึงได้พร้อมกันเป็นจำนวนมาก  อีกทั้งยังช่วยให้สามารถเข้าถึงได้อย่างเท่าเทียมกันทุกคน  รวมทั้งเข้าถึงได้ทุกที่ทุกเวลา  นับว่าเป็นการช่วยลดข้อจำกัดของสิ่งพิมพ์ที่ไม่สามารถทำได้อย่างสิ่งพิมพ์อิเล็กทรอนิกส์ 
  • ข้อดีของคลังเก็บสารสนเทศระดับสถาบัน
    -สามารถเข้าถึงได้ในระยะยาว  สามารถเปิดอ่านได้หลายครั้งโดยที่ไม่ทำให้เกิดความเสียหายต่อทรัพยากรสารสนเทศ  อย่างเช่น  ทรัพยากรสารสนเทศประเภทสิ่งพิมพ์  หากมีการเปิดอ่านหลายครั้ง  ย่อมทำให้เกิดการชำรุด  เสียหาย  และฉีกขาดได้ง่าย  ซึ่งสิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นข้อจำกัดของทรัพยาการสารสนเทศที่เป็นสิ่งพิมพ์  ในทางตรงกันข้าม  หากเป็นทรัพยากรอิเล็กทรอนิกส์ไม่ว่าจะเปิดอ่านหลายครั้ง  ก็ไม่ทำให้ทรัพยากรเกิดความเสียหาย  ทรัพยากรก็ยังคงมีสภาพเดิมอยู่และไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด  หากไม่มีการลบออกจากฐานข้อมูล  ก็จะยังคงอยู่ตลอดไป 
  • ประโยชน์ของการมีคลังเก็บสารสนเทศระดับสถาบัน
    1)ทำให้เกิดระบบการรวบรวม  สงวนรักษา  และเผยแพร่เนื้อหาทางวิชาการ
    2)เป็นเสมือนตัวชี้วัดของคุณภาพทางวิชาของมหาวิทยาลัย  หน่วยงานวิจัย  โดยมุ่งที่รวมเอางานทางปัญญาของมหาวิทยาลัย  หน่วยงานวิจัยมาไว้ในที่เดียวกัน  และสามารถเข้าถึงได้ทั่วโลก
    3)เป็นการสงวนรักษาทรัพย์สินทางปัญญาในรูปดิจิทัล
    4)เป็นเสมือนพื็นฐานของกระบวนทัศน์ใหม่ในการพิมพ์ผลงานทางวิชาการ
    5)เป็นการสื่อสารทางวิชาการ (Scholarly Communication)
    6)เป็นการจัดการความรู้
    7)เป้นการสนับสนุนเรื่องการเข้าถึงโดยเสรี

แหล่งข้อมูลที่ใช้ในการประกอบการเขียน

สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.)

Trend E-Publishing
----------------------------



  • ความหมายของ E-Publishing
    E-Publishing หมายถึง  ข้อความ  ภาพ  และสื่อมัลติมีเดียที่นำเสนอในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ซึ่งประกอบไปด้วยเนื้อหา  เรื่องเล่า  งานเขียน  วรรณกรรมออนไลน์  เช่น Blog , Wiki , Webpages  บทกวีที่ส่งผ่านอีเมล์  เป็นต้น  นอกจากนี้ยังหมายรวมถึง  กระบวนการจัดทำหรือผลิตสิ่งพิมพ์ให้อยู่ในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์  ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบ (Formatted) การเข้ารหัส (Encryted) การป้องกันความปลอดภัย (Security) การเผยแพร่ (Published)


  • ประโยชน์ของ E-Publishing
    (1)ลดการใช้กระดาษ , พลังงาน , สิ่งแวดล้อม , ธรรมชาติ
    (2)มีความสะดวกและสามารถจัดการได้ง่ายในการปรับปรุงแก้ไข
    (3)ช่วยทำให้ได้เอกสารที่มีคุณค่าด้วยระบบหรือวิธีการที่รวดเร็ว
    (4)มีความสะดวกต่อการศึกษา
    (5)ง่ายต่อการสืบค้น
    (6)มีความคงทน
    (7)สามารถนำเสนอในรูปแบบของสื่อมัลติมีเดียได้  สามารถใช้สื่่อประกอบการนำเสนอได้หลากหลาย
    (8)เป็นการเปิดโอกาสให้กับผู้ที่สนใจจะมาเป็นนักเขียน  ซึ่งเป็นการช่วยสนับสนุนนักเขียนหน้าใหม่ให้เกิดขึ้น
    (9)ช่วยพัฒนาสื่อความรู้หรือสื่อประกอบการเรียนการสอนให้มีความน่าสนใจมากยิ่งขึ้น
    (10)เป็นการสร้างมูลค่าให้กับ E-Library หรือ E-Learning  ให้มีคุณค่าเพิ่มมากขึ้น


  • ข้อเสียของ E-Publishing
    (1)มีการลงทุนสูงในขั้นตอนเริ่มต้นในการจัดทำ
    (2)อาจทำให้เกิดปัญหาในการอ่าน เช่น  ขนาดของหน้าจอ  ขนาดตัวหนังสือ  ความคมชัด  เป็นต้น
    (3)ก่อให้เกิดการละเมิดสิทธิ์ได้ง่ายขึ้น  เพราะสามารถเข้าถึงได้ง่ายทุกที่ทุกเวลา
    (4)ลดความสำคัญในมาตรฐานให้น้อยลง  ขาดการจัดการรูปแบบที่ดี  เนื่องจาก  ไม่ต้องผ่านกระบวนการตีพิมพ์
    (5)เทคโนโลยีมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง  อาจทำให้เกิดการล้าสมัยได้เร็วขึ้น  อีกทั้งไม่มีงบประมาณที่เพียงพอในการติดตามให้ทันต่อเทคโนโลยีที่เกิดขึ้นใหม่ๆในภายหลังได้ทันที


  • แนวโน้มของ E-Publishing (Trend E-Publishing)
    -E-Publishing มีแนวโน้มที่เพิ่มมากขึ้นเรือยๆ  ซึ่งจะมาแทนที่สิ่งตีพิมพ์  เนื่องจาก  เป็นการช่วยประหยัดพื้นที่ในการจัดเก็บได้มาก  อาศัยพื้นที่การจัดเก็บโดยใช้คอมพิวเตอร์เพียงไม่กี่เครื่อง  และยังสามารถเข้าถึงได้อย่างสะดวกรวดเร็ว  ง่ายต่อการสืบค้น  และยังเข้าถึงได้ทุกทีทุกเวลา  ซึ่งต่างจากสิ่งตีพิมพ์หากต้องการจะได้ข้อมูลจะต้องไปค้นหาที่ห้องสมุดเพียงอย่างเดียวเท่านั้น  ซึ่งทำให้เกิดความยากลำบากในการได้มาซึ่งข้อมูล  อีกทั้งยังมีข้อจำกัดในเรื่องของเวลา  หากห้องสมุดปิดก็ไม่สามารถสืบค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมต่อไปได้  E-Publishing จึงเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่จะช่วยให้เกิดการเผยแพร่องค์ความรู้ที่มีอยู่บนโลกใบนี้ให้สามารถเกิดการกระจายได้อย่างทั่วถึงและมีความเท่าเทียมกันในการเข้าถึง  สามารถเข้าถึงได้จำนวนมากขึ้น  ไม่มีข้อจำกัดในเรื่องของจำนวนทรัพยากรสารสนเทศในรูปของสิ่งตีพิมพ์ที่มีไม่เพียงพอต่อผู้ใช้งาน และที่สำคัญช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในการสั่งซื้อทรัพยากรสารสนเทศที่เป็นสิ่งพิมพ์  เนื่องจากมีแนวโน้มว่าจะมีราคาสูงขึ้น  จึงเห็นได้ว่าในปัจจุบันนี้ห้องสมุดเลือกที่จะบอกรับฐานข้อมูลมากกว่าที่จะบอกรับหรือสั่งซื้อสิ่งตีพิมพ์  เนื่องจากข้อจำกัดในด้านงบประมาณของห้องสมุดที่ยังคงได้รับเท่าเดิม  แต่ทรัพยากรสารสนเทศที่เป็นสิ่งตีพิมพ์มีแนวโน้มที่จะมีราคาเพิ่มสูงขึ้นเรื่อย  ดังนั้น  สิ่งพิมพ์อิเล็กทรอนิกส์จึงได้รับความนิยมมากขึ้นในปัจจุบันอย่างต่อเนื่อง

แหล่งข้อมูลที่ใช้ในการประกอบการเขียน
คุณบุญเลิศ อรุณพิบูลย์
ศูนย์บริการความรู้ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (ศวท.)
สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ
http://www.stks.or.th/web/index2.php?option=com_docman&task=doc_view&gid=665&Itemid=24

WebOmetrics
---------------------

  • ความหมายของ WebOmetrics
    -WebOmetric ย่อมาจาก WebOmetrics Ranking of World Universities  หรือ Ranking Web of World Universities เป็นการจัดลำดับให้กับมหาวิทยาลัยทั่วโลกว่ามหาวิทยาลัยใดเป็นแหล่งเผยแพร่ข้อมูลทางวิชาการที่ดีที่สุดในโลก  ซึ่งวัดจากการมีจำนวนปริมาณข้อมูลทางวิชาการเป็นจำนวนมากที่สุด  หากยิ่งสร้างได้มากเท่าไหร่  ก็ยิ่งมีผลต่อค่า Impact Factor มากขึ้นตามไปด้วย
    -การจัดลำดับโดย Webometrics มาจากความเชื่อที่ว่าเว็บไซต์จะเป็นแหล่งเผยแพร่ข้อมูลทางวิชาการที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก จึงส่งผลให้สิ่งพิมพ์อิเล็กทรอนิกส์สามารถเข้าถึงได้ง่ายกว่าสิ่งตีพิมพ์  ดังนั้น WebOmetric จึงเป็นการวัดปริมาณเนื้อหาที่สร้างขึ้น  โดยเน้นการเผยแพร่ผลงานทางวิชาการผ่านทางเว็บไซต์  รวมทั้งการปรากฎตัวบนอินเทอร์เน็ต  และดูจำนวนลิงก์จากเว็บไซต์ภายนอกทั่วโลกที่ทำลิงก์มายังเว็บเพจ  หรือวัดผลกระทบการอ้างอิงตามจำนวนของลิงก์ที่ได้รับจากภายนอก  แล้วทำการจัดลำดับโดยใช้ดัชนีจาก Web Impact Factor หรือ WIF

แหล่งข้อมูลที่ใช้ในการประกอบการเขียน
คุณรุจเรขา วิทยาวุฑฒิกุล
มหาวิทยาลัยมหิดล