วันพฤหัสบดีที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2554

ข้อควรทราบเกี่ยวกับการจัดเก็บสื่อดิจิทัล

กระบวนวิชา 009304 สิ่งพิมพ์อิเล็กทรอนิกส์

ประจำวันที่ 25 สิงหาคม พ.ศ.2554


สรุปเรื่อง ข้อควรทราบเกี่ยวกับการจัดเก็บสื่อดิจิทัล
________________________________________

 ข้อควรทราบเกี่ยวกับการจัดเก็บสื่อดิจิทัล


-กระดาษ-

  • ความหมายของกระดาษ

    ไฟล์:Paper 450x450.jpg

              กระดาษเป็นวัสดุที่ผลิตขึ้นมาสำหรับการจดบันทึก มีประวัติศาสตร์ความเป็นมาเป็นระยะเวลานาน และถูกนำมาใช้เป็นครั้งแรกโดยชาวอียิปต์และชาวจีนในสมัยโบราณ แต่วัตถุประสงค์ในการผลิตขึ้นมาในยุคแรกนั้นเป็นเพียงแค่นำมาใช้ในการจดบันทึกเท่านั้น ซึ่งกระดาษเกิดมาจากแรงผลักดันในการสร้างสรรค์งานเขียน จึงเกิดการผลิตกระดาษที่มีการพัฒนาให้เหมาะสมต่อการนำไปใช้งาน จึงทำให้มนุษย์มีการนำกระดาษมาใช้แตกต่างกันไปตามวัตถุประสงค์ในการใช้งาน และยังคงมีการใช้กระดาษมาจนถึงทุกวันนี้

    แหล่งข้อมูลที่ใช้ในการประกอบการเขียน
    วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
    http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%94%E0%B8%B2%E0%B8%A9

  • การเก็บรักษากระดาษ
    สำหรับการเก็บรักษากระดาษนั้นต้องมีการเก็บรักษาอย่างถูกต้องและเหมาะสมถึงแม้กระดาษจะมีคุณลักษณะที่ดีมากเพียงใดแต่หากเก็บรักษาไว้ไม่ถูกวิธีแล้วก็ย่อมทำให้คุณภาพของการกระดาษลดลง ส่งผลให้ลดคุณภาพในการตีพิมพ์ลงได้เช่นเดียวกัน ซึ่งมีวิธีการเก็บรักษากระดาษ 
    ดังต่อไปนี้
    (1)ควรเก็บรักษากระดาษให้ห่างจากความชื้น เพราะย่อมส่งผลต่อคุณภาพของกระดาษและการนำไปใช้งานได้
    (2)หากไม่มีการนำกระดาษมาใช้งานจึงควรใช้วัสดุห่อหุ้มกระดาษซึ่งจะช่วยให้กระดาษไม่แห้งจนเกินไป ดังนั้น กระดาษที่ยังไม่มีการนำมาใช้งานควรเก็บไว้ในวัสดุห่อหุ้มเสมอ เพื่อรักษาคุณภาพของกระดาษ
    (3)ควรเก็บรักษากระดาษบนพื้นผิวที่ราบเรียบ
    (4)ไม่ควรเก็บรักษากระดาษบนพื้นที่ที่ีมีน้ำหรือความชื้น เพราะจะทำให้เกิดการเจริญเติบโตของเชื้อราบนกระดาษและไม่สามารถนำไปใช้งานได้
    (5)ไม่ควรเก็บรักษากระดาษในที่ที่ทำให้กระดาษเกิดการเสียรูปทรง เพราะอาจทำให้กระดาษโค้งงอหรือเกิดรอยพับ ซึ่งจะส่งผลต่อการนำไปพิมพ์
    (6)ไม่ควรเก็บรักษากระดาษในแนวตั้งหรือเก็บรักษากระดาษกองละจำนวนมากเกินไป
    (7)ไม่ควรเก็บรักษากระดาษในที่ที่มีแสงส่องมายังกระดาษโดยตรงหรือความชื้นสูง
    (8)ถ้าสถานที่จัดเก็บรักษากระดาษและสถานที่่ทำงานมีความชื้นและอุณหภูมิแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด ให้จัดเก็บกระดาษลงในหีบห่ออย่างน้อยเป็นเวลาหนึ่งวันเพื่อให้กระดาษสามารถปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงได้ และป้องกันไม่ให้กระดาษเกิดการโค้งงอหรือเกิดรอยพับได้ง่าย

    แหล่งข้อมูลที่ใช้ในการประกอบการเขียน
    http://support-th.canon-asia.com/contents/TH/TH/8000814104.html

  • ปัญหาเกี่ยวกับกระดาษ
    (1)ต้องมีการจัดเตรียมพื้นที่ในการจัดเก็บเป็นจำนวนมาก
    (2)มีข้อจำกัด คือ ไม่สามารถจัดเก็บข้อมูลในลักษณะที่เป็นสื่อได้ เช่น ไม่สามารถเพิ่มเสียงหรือภาพเคลื่อนไหวลงไปได้
    (3)วัสดุที่นำมาใช้ในการทำกระดาษมีจำนวนลดลง ทำให้กระดาษมีราคาแพงขึ้น
    (4)การเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อมูลสามารถทำได้ยากและใช้เวลานาน เนื่องจากมีกระบวนการจัดทำที่ซับซ้อนและยุ่งยาก
    (5)ในการตีพิมพ์นั้น บางสำนักพิมพ์มีการใช้กระดาษและน้ำหมึกที่มีคุณภาพต่ำ ทำให้ลดประสิทธิภาพในการนำไปใช้งาน ไม่สามารถจัดเก็บสิ่งพิมพ์ได้เป็นระยะเวลานาน ก่อให้เกิดการเสื่อมสภาพเร็วและมีอายุการใช้งานที่สั้น
    (6)กระดาษมีอายุในการจัดเก็บได้ประมาณ 100 ปี หลังจากนั้นต้องนำกระดาษไปทำการอนุรักษ์เพื่อยืดอายุในการใช้งาน
    (7)การปรับเปลี่ยนคุณลักษณะของกระดาษเพื่อฟอกกระดาษให้ขาว เติมสารเคมีเพื่อเคลือบให้กระดาษมีความมัน เพื่อป้องกันการฉีกขาดได้ง่าย ส่งผลให้กระดาษมีอายุการใช้งานที่สั้นลง แม้จะเป็นการช่วยรักษากระดาษให้มีความแข็งแรงมากขึ้นก็ตาม
    (8)หากมีการจัดเก็บข้อมูลข่าวสารลงบนกระดาษ ย่อมส่งผลให้เกิดการทำสำเนาเป็นเวลานาน ต้องอาศัยกระบวนการหลายขั้นตอนในการจัดทำ
    (9)ข้อควรระมัดระวัง คือ ในการนำไปสแกนหรือทำสำเนาต้องใช้น้ำหมึกที่มีคุณภาพ เพื่อให้สามารถใช้งานได้นานมากขึ้น
    (10)กระดาษย่อมเป็นปัญหาต่อการให้บริการในการจัดส่งเอกสารง่าย เพราะต้นฉบับอาจเสียหายได้ในระหว่างการนำส่งเอกสาร หากมีการนำมาจัดทำให้อยู่ในรูปอิเล็กทรอนิกส์จะทำให้ลดความเสียหายที่จะเกิดขึ้นกับเอกสารต้นฉบับที่เป็นกระดาษ และยังเป็นการยืดอายุการใช้งานกระดาษมากขึ้น สามารถเก็บรักษาได้อย่างมั่งคงถาวรและยั่งยืน


    -แผ่นซีดี-
  • ความหมายของซีดี
    แผ่นซีดี ย่อมาจาก คอมแพ็กดิสก์ (Compact Disc) เป็นแผ่นออฟติคอลที่เก็บข้อมูลต่างๆ ซึ่งแต่เดิมถูกพัฒนาขึ้นเพื่อใช้เป็นสื่อในการเก็บเสียงหรือบันทึกเสียงดิจิทัลแทนที่ดิสก์เก็ต ซึ่งสามารถเก็บข้อมูลได้มากกว่าดิสก์เก็ตและอีกทั้งยังมีราคาถูกกว่าแผ่นดิสก์เก็ต ปัจจุบันแผ่นซีดีถือเป็นมาตรฐานการบันทึกเสียงทางการค้า

    แหล่งข้อมูลที่ใช้ประกอบในการเขียน
    วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
    http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%81%E0%B8%9C%E0%B9%88%E0%B8%99%E0%B8%8B%E0%B8%B5%E0%B8%94%E0%B8%B5


  • การเก็บรักษาแผ่นซีดี ควรมีการเก็บหรือดูแลรักษา ดังต่อไปนี้
    (1)ควรเก็บรักษาแผ่นซีดีไว้ในกล่องหรือซองเก็บรักษา เพื่อป้องกันไม่ให้แผ่นสกปรกจากฝ่น รอยนิ้วมือ น้ำ เป็นต้น ซึ่งจะส่งผลให้เกิดความผิดพลาดในการอ่านข้อมูลจากแผ่นซีดีได้
    (2)ถ้าหากแผ่นสกปรกควรใช้น้ำหรือน้ำยาทำความสะอาดแผ่นซีดีโดยเฉพาะ แล้วใช้ผ้าที่นุ่มและสะอาดเช็ดจากส่วนกลางของแผ่นออกไปยังขอบแผ่น ข้อควรระมัดระวังไม่ควรเช็ดเป็นลักษณะวงกลม
    (3)ถ้าต้องการเขียนข้อความลงบนแผ่นซีดีควรใช้ปากกาสักหลาดในการเขียน เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาต่อแผ่นซีดี
    (4)ไม่ควรติดสติ๊กเกอร์ลงบนแผ่น

    แหล่งข้อมูลที่ใช้ในการประกอบการเขียน

  • ข้อควรทราบเกี่ยวกับแผ่นซีดี
    (1)แผ่นซีดีสามารถทำการเก็บรักษาข้อมูลที่มาจากการทำสำเนาหรือสแกนลงไปในแผ่นหรือฮาร์ดดิสก์ได้ทันที ซึ่งแผ่นซีดีหนึ่งแผ่นสามารถบรรจุข้อมูลได้ประมาณ 650-700 MB และสามารถจัดเก็บต้นฉบับได้อย่างเหมาะสมตามความต้องการ
    (2)ในปัจจุบันวิทยากรมีความก้าวหน้า ทำให้สามารถสำเนาเอกสารได้เร็วขึ้น ซึ่งแต่เดิมในการทำสำเนาข้อมูลหนังสือจำนวน 100 เล่ม ใช้ระยะเวลานานเป็นเดือน
    (3)อายุของแผ่นซีดีในการเก็บข้อมูลสามารถเก็บได้ประมาณ 200 ปี ทั้งนี้ต้องขึ้นอยู่กับคุณภาพของแผ่นซีดีเป็นสำคัญ หากซีดีมีคุณภาพต่ำ จะทำให้อายุการใช้งานลดลง
    (4)ความร้อนหรือความเย็นสามารถทำให้คุณภาพของแผ่นซีดีลดลง การจัดเก็บแผ่นให้ห่างจากความร้อนหรือความเย็นจึงเป็นสิ่งสำคัญ

    ***ข้อสังเกต***
    ในการจัดเก็บลงบนสื่อดิจิตอลเป็นสิ่งที่ใช้เก็บรักษาเนื้อหาหรือเอกสารต้นฉบับให้สามารถเก็บได้อย่งมั่นคงถาวรและยืนยาวนาน ซึ่งสิ่งที่ควรทำการเก็บรักษาหรือควรอนุรักษ์ไว้ควรเป็นองค์ความรู้ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่จะใช้ในการพัฒนาคุณภาพทางการศึกษาได้ยาวนานมากยิ่งขึ้น

    วันจันทร์ที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2554

    วารสารอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Journal)

    กระบวนวิชา 009304 สิ่งพิมพ์อิเล็กทรอนิกส์

     ประจำวันที่ 22 สิงหาคม พ.ศ.2554

    สรุปเรื่อง วารสารอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Journal)

    ____________________________________________

    วารสารอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Journal)


    • ความหมายของวารสารอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Journal)
      วารสารอิเล็กทรอนิกส์  หมายถึง วารสารรูปแบบใหม่ที่มีการจัดเก็บบันทึก และพิมพ์เผยแพร่สารนิเทศทางวิชาการไว้ในรูปแฟ้มคอมพิวเตอร์และสื่ออิเล็กทรอนิกส์มีกำหนดออกแน่นอน สม่ำเสมอ โดยสามารถเข้าถึง สืบค้นข้อมูล และสั่งซื้อหรือบอกรับเป็นสมาชิกได้จากฐานข้อมูลซีดี-รอม ฐานข้อมูลออนไลน์ และเครือข่ายคอมพิวเตอร์
    • รูปแบบของวารสารอิเล็กทรอนิกส์
      วารสารอิเล็กทรอนิกส์ แบ่งออกเป้น 3 รูปแบบ คือ
      (1)วารสารอิเล็กทรอนิกส์ในรูปของฐานข้อมูลระบบออนไลน์ (Online Based Electronic Journal) เป็นวารสารเนื้อหาฉบับเต็มที่สามารถสืบค้นข้อมูลด้วยระบบออนไลน์จากฐานข้อมูลพาณิชย์ โดยผู้ใช้สามารถเข้าถึงข้อมูลของผู้ผลิตหรือแหล่งผลิตได้ด้วยการเชื่อมตรง (On-line)
      (2)วารสารอิเล็กทรอนิกส์ในรูปฐานข้อมูลซีดี-รอมฉบับเต็ม (CD-ROM Electronic) เป็นเทคโนโลยีการจัดเก็บ บันทึกข้อมูลในรูปดิจิตอล จัดเป็นสื่อประเภทออปติคอล (Optical media) ที่ใช้แสงเลเซอร์ในการอ่านและบันทึกข้อมูล ซีดี-รอมเป็นสื่อบันทึกข้อมูลชนิดสื้อผสมหรือมัลติมีเดีย (Multimedia) ที่ใช้บันทึกข้อมูลได้ทั้งตัวอักษร ตัวเลข ข้อความ ภาพ สัญลักษณ์ และเสียง

                ในปัจจุบันวารสารอิเล็กทรอนิกส์ประเภทนี้ มักมีการจัดพิมพ์ควบคู่ไปกับวารสารที่เป็นสิ่งพิมพ์และมีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และผู้ผลิตวารสารอิเล็กทรอนิกส์ในรูปแบบนี้ก็กำลังเพิ่มผลผลิตผ่านระบบเครือข่ายอินเตอร์เน็ตเพื่อให้สามารถส่งและเผยแพร่สารนิเทศไปยังที่ต่างๆ ทั้งใกล้และไกลได้อีกด้วย

      (3)วารสารอิเล็กทรอนิกส์ในรูปแบบเครือข่าย (Network Electronic Journals) เป็นวารสารในรูปสื่ออิเล็กทรอนิกส์ฉบับเต็มที่เผยแพร่และให้บริการในระดับเครือข่ายอินเตอร์เน็ต ปัจจุบันวารสารอิเล็กทรอนิกส์ที่พบในระบบเครือข่าย แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ
      (3.1)วารสารที่มีการเสนอเนื้อหาในลักษณะบทความ ข้อมูลในแต่ละฉบับบจะประกอบด้วยบทความจากวารสารต่างๆ ซึ่งอาจจะมีการคัดเลือกบทความที่ตีพิมพ์เผยแพร่โดยมีคณะกรรมการพิจารณา และสามารถบอกรับเป็นสมาชิกวารสารได้เช่นเดียวกับวารสารทางวิชาการที่พิมพ์เผยแพร่ในรูปสิ่งพิมพ์
      (3.2)วารสารที่มีการเสนอเนื้อหาในลักษณะจดหมายข่าว เป็นวารสารอิเล็กทรอนิกส์ที่สามารถบอกรับเป็นสมาชิกโดยกลุ่มผู้ใช้บริการข่าวสาร (Listserv) ซึ่งจะให้ข่าวสารข้อมูล และมีการแลกเปลี่ยนความรู้ ความคิดเห็นซึ่งกันและกันในลักษณะไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ และการประชุมทางไกลด้วยคอมพิวเตอร์

                ปัจจุบันจำนวนวารสารอิเล็กทรอนิกส์ที่เผยแพร่ในระบบเครือข่ายทางวิชาการมีเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะเครือข่ายอินเตอร์เน็ต ซึ่งเป็นแหล่งรวบรวมความรู้ข้อมูลที่ครอบคลุมสารสนเทศสาขาต่างๆ มากมาย ผู้ใช้สามารถเข้าถึงข้อมูลด้วยการสืบค้นผ่านระบบ OPAC ของห้องสมุด หรือแหล่งบริการสารสนเทศต่างๆ ซึ่งผู้ใช้อาจใช้บริการอินเตอร์เน็ต บริการไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ และ www. ตลอดจนบริการจดหมายข่าวที่ให้บริการจากศูนย์จดหมายข่าว โดยผู้สนใจสามารถโอนย้ายข้อมูล (Download) เหล่านั้นจากสำนักพิมพ์ ผู้ผลิต หรือจากระบบเครือข่ายได้โดยตรง นอกจากนั้น ห้องสมุดก็สามารถทำดรรชนีวารสาร หรือรวบรวมรายชื่อวารสารอิเล็กทรอนิกส์ หรือเว็บไซต์ (Website) ต่างๆ เพื่อให้บริการผู้ใช้ต่อไป


    • วิธีการจัดทำวารสารอิเล็กทรอนิกส์
      วารสารอิเล็กทรอนิกส์เป็นสื่อในรูปดิจิตอล บทความวารสารจะจัดเก็บเป็นแฟ้มข้อมูลคอมพิวเตอร์ในรูปแบบต่างๆ และมีกลไกการจัดส่งวารสารหลายรูปแบบ สำหรับการจัดทำวารสารอิเล็กทรอนิกส์ในปัจจุบัน มีอยู่ด้วยกัน 3 วิธี  ดังต่อไปนี้
      (1)วารสารอิเล็กทรอนิกส์โดยวิธีสแกน (Scanned Journals) เป็นวารสารอิเล็กทรอนิกส์ที่ผลิตขึ้นจากการใช้เครื่องสแกนเนอร์ สแกนบทความจากวารสารที่เป็นสิ่งพิมพ์แล้วจัดเก็บเป็นข้อมูลไว้ในลักษณะแฟ้มรูปภาพ (Image File) ซึ่งสามารถสืบค้นได้จากแฟ้มรูปภาพในลักษณะแฟ้ม PDF และ TIFF เป็นต้น ระบบการจัดการภาพในลักษณะนี้เรียกว่า Document Imaging System โดยระบบจะสแกนภาพเป็นแบบ Bitmap และใช้ Software OCR (Optical Character Recognition) แปลงเป็นข้อความที่สแกนให้อยู่ในรูปที่คอมพิวเตอร์สามารถอ่านได้ และป้อนคำสำคัญสำหรับเอกสารแต่ละฉบับลงไปโดยการทำดรรชนีลงไปในภาพ เพื่อให้สามารถเรียกค้นคืนได้ในภายหลัง
      (2)วารสารอิเล็กทรอนิกส์ที่ผลิตจากกระบวนการพิมพ์ (Electronic Journals from Print Production) เป็นการผลิตวารสารที่มีลักษณะคล้ายกับกระบวนการจัดพิมพ์วารสารที่เป็นสิ่งพิมพ์ทั่วไป โดยในระหว่างการพิมพ์บทความนั้นก็จะมีการแก้ไข และส่งข้อมูลไปให้พนักงานจัดพิมพ์ซึ่งจะผนวกเอาตัวอักษรและรูปภาพของบทความเข้าไว้ในแฟ้มที่เรียกว่า PostScript File ให้เป็น PDF และใช้โปรแกรม Adobe Acrobat ในการอ่านแฟ้มข้อมูล PDF ดังกล่าว
      (3)วารสารในรูปวารสารอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Journal Formats) เป็นวารสารอิเล็กทรอนิกส์ในรูปดิจิตอล และให้บริการบนระบบเครือข่ายอินเตอร์เน็ตเท่านั้น โดยสำนักพิมพ์จะมุ่งให้บริการเชิงพาณิชย์เป็นหลัก เพื่อให้วารสารเหล่านี้เป็นทรัพยากรสารสนเทศส่วนหนึ่ง หรือเป็นบรรณานุกรมของห้องสมุด และให้บริการหน้าสารบัญวารสารในรูปดิจิตอลด้วย การจัดทำวารสารนี้ทางสำนักพิมพ์จะสร้างเว็บไซต์เป็นของตนเองด้วยภาษา HTML (Hypertext Markup Language) ซึ่งเป็นภาษามาตรฐานของระบบ ASCII ที่สามารถอ่านได้บน www. ซึ่งในปัจจุบันสำนักพิมพ์ต่างๆ ให้ความสนใจในการจัดเก็บและเผยแพร่บทความในลักษณะแฟ้มข้อมูล PDF และ SGML มากเป็นพิเศษ
    • ลักษณะการให้บริการวารสารอิเล็กทรอนิกส์
      วารสารอิเล็กทรอนิกส์ที่เผยแพร่ในปัจจุบัน จะมีการให้บริการในลักษณะที่เรียกว่า CAS-IAS ซึ่งก็คือการนำบริการทั้งสองประเภทมารวมไว้ด้วยกัน ได้แก่
      (1)บริการข่าวสารทันสมัย (Current Alerting Service-CAS) ที่เสนอข้อมูลรายการบทความหรือสารบัญวารสารให้ผู้สนใจสืบค้นตลอดเวลาตามความสนใจ
      (2)บริการจัดส่งบทความให้ผู้ใช้เป็นรายบุคคลตามการสั่งซื้อ (Individual Article Supply-IAS)
                ธุรกิจการให้บริการวารสารอิเล็กทรอนิกส์ดังที่ได้กล่าวมาข้างต้น มีการขยายตัวอย่างรวดเร็ว สำนักพิมพ์ต่งๆ รวมทั้งตัวแทนบอกรับวารสารเริ่มหันมาสนใจในการลงทุนและจัดให้บริการจัดส่งเอกสารด้วยวิธีการดังกล่าวเป็นจำนวนมากขึ้น
    • สรุปเกี่ยวกับวารสารอิเล็กทรอนิกส์
      จากปัญหาที่ห้องสมุดประสบในเรื่องงบประมาณที่มีอยู่อย่างจำกัด และความไม่แน่นอนในการจัดสรรงบประมาในการจัดหา โดยเฉพาะอย่างยิ่งสิ่งพิมพ์ประเภทวารสารซึ่งมีราคาเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ประกอบกับความก้าวหน้าของเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์และการสื่อสารนั้นควรจะเป็นสิ่งที่ส่งเสริมห้องสมุดโดยเฉพาะห้องสมุดมหาวิทยาลัยควรทำการพิจารณาและคำนึงถึงแนวทางในการจัดหาวารสารที่มีอยู่ในรูปแบบต่างๆ มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นวารสารที่เป็นสิ่งพิมพ์ วารสารที่อยู่ในรูปวัสดุย่อส่วน และวารสารอิเล็กทรอนิกส์ซึ่งเป็นสิ่งที่กำลังมาแรงและได้รับความนิยมในปัจจุบันซึ่งเป็นยุคแห่งข้อมูลข่าวสาร ทั้งนี้เพื่อให้ห้องสมุดสามารถตอบสนองความต้องการของผู้ใช้ที่ต้องการสารสนเทศในรูปแบบต่างๆ ได้อย่างรวดเร็ว ถูกต้อง และมีความสมบูรณ์มากที่สุด


      แหล่งข้อมูลที่ใช้ในการประกอบการเขียน
      สมร ตาระพันธ์.บรรณารักษศาสตร์และสารนิเทศศาสตร์ มข.18,2(พฤษภาคม 2543) : 20-30.
      http://www.nectec.or.th/schoolnet/library/create-web/10000/generality/10000-12235.html

    วันพฤหัสบดีที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

    หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ (e-Book) (2)

    กระบวนวิชา 009304

    สรุปเรื่อง หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ (e-Book) (2)


    ประจำวันที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

    ________________________________

    หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ (e-Book) (ต่อ)




    • Book Scanner
      เป็นอุปกรณ์หรือเครื่องมือที่ใช้สแกนหนังสือที่เป็นสิ่งพิมพ์ให้อยู่ในรูปของไฟล์ดิจิตอล ซึ่งภายเครื่องสแกนหนังสือจะประกอบไปด้วยกล้องถ่ายรูป แสงไฟที่ใช้ส่องมายังหนังสือ ภาพถ่าย และพื้นหลังสีขาวไว้รองใต้หนังสือ เพื่อให้เวลาสแกนออกมาภาพจะที่ได้จะไม่เป็นพื้นดำ


    • ตัวอย่างของ Book Scanner เช่น
      Cannon Bookeye 3 , Minolta PS 3000 Scanner , 1.23 Megapixel IR-Camera , Bookdrive Scanner , SMA , BookDrive DIY , Kritas AFT Bookscan


    • ข้อควรระมัดระวังในการสแกนหนังสือ
      การนำหนังสือที่มีลิขสิทธิ์มาสแกนนั้นอาจก่อให้เกิดปัญหาเรื่องละเมิดลิขสิทธิ์ได้ ถ้าหากนำหนังสือเหล่านั้นมาสแกนทั้งเล่ม ดังนั้น ห้องสมุดส่วนใหญ่จึงแก้ปัญหาโดยการสแกนเพียงหน้าปก และเนื้อหาภายในหนังสือบางส่วนเท่านั้น โดยต้องไม่เกิน 10% ของหนังสือทั้งเล่ม แล้วจากนั้นจึงนำมารวบรวมไว้ในฐานข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์เพื่อให้บริการแก่ผู้ใช้ภายในห้องสมุด เพื่อใช้ในการพิจารณาและตัดสินใจว่าหนังสือเล่มนั้นมีเนื้อหาที่ตรงกับความต้องการในการนำไปใช้งานหรือไม่


    • Optical Character Recognition (OCR) เป็นโปรแกรมอ่าน Text จากภาพ
      -เป็นการนำข้อมูลจากหนังสือมาทำการสแกนด้วยเครื่องสแกนเนอร์ จากนั้นใช้โปรแกรมประเภท OCR (Optical Character Recognition) มาทำการแปลงภาพที่ได้ให้อยู่ในรูปแบบของ MS-Word จากนั้นสามารถนำมาแต่งเพิ่มเติมได้
    • Google Docs สามารถรองรับ OCR ภาษาไทย
      -เป็นการนำเอารูปภาพของ Translate จาก Google มาแปล มีให้เลือกอยู่หลายภาษาตามความต้องการในการใง้งาน สามารถนำไฟล์ที่ดาวน์โหลดมาสแกนเพื่อให้อ่านภาพเป็นตัวอักษร ซึ่งสามารถทำการแก้ไขได้


    • Microsoft Reader
      -เป็นโปรแกรมที่สามารถหาดาวน์โหลดบนอินเตอร์เน็ตได้ฟรี ซึ่งใช้ในการแปลงไฟล์ให้เป็นไฟล์ที่มีนามสกุลเป็น .lit ซึ่งจะอยู่ในรูปไฟล์ Reader
    • Software สำหรับการอ่านหนังสืออิเล็กทรอนิกส์
      (1)Browser
      (2)Adobe Acrobat eBook Reader
      (3)Microsoft Reader
      (4)Palm Reader
      (5)Palm Reader Pro


    • การเข้าถึงหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ (Access)
      (1)แบบ Offline (Downloadable Use)
      -เป็นหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ที่นิยมดาวน์โหลดมาไว้ที่เครื่องอ่าน มีหนังสือให้สามารถดาวน์โหลดได้เอง สามารถนำไปใช้งานได้ทันที โดยไม่ต้องใช้งานผ่านระบบออนไลน์ ผู้ใช้สามารถทำการดาวน์โหลดหนังสืออิเล็กทรอนิกส์แล้วนำมาถ่ายโอนที่เครื่องอ่าน e-reader เครืองคอมพิวเตอร์ส่วนตัว หรือ PDA (Personal Digital Assistants) Palm
      (2)แบบ Online (Web-Accessible Use)
      -สามารถอ่านหรือฟังโดยผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต แล้วจะต้องมีซอฟต์แวร์ที่ใช้ในการอ่านหนังสืออิเล็กทรอนิกส์โดยเฉพาะ ซึ่งสามารถอ่านผ่านเครือข่ายได้ โดยโปรแกรมที่ใช้ในการอ่าน ได้แก่ Web Browsers ,Adobe Reader และ Microsoft Reader
    • การดำเนินงานของหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ (Implementation of e-Book)
      (1)Downloadable e-Books
      -Proprietary  สามารถมีสิทธิในการเป็นเจ้าของได้ มีโปรแกรมเฉพาะสำหรับผู้ใช้ให้สามารถดาวน์โหลดมาอ่าน หรือพิมพ์  เปิดให้ดาวน์โหลดเป็นเอกสารแบบสาธารณะ
      -Non Proprietary เป็นหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ที่อยู่ในรูปแบบ ASCII text , HTML สามารถอ่านได้ โดยใช้ Web Browser to HD เช่น Profect Gutenberg , Internet Public Library
      (2)Decicated e-Book Reader
      ผู้ใช้จะเข้าถึงได้ต้องเป็นสมาชิก ซึ่งหนังสืออิเล็กทรอนิกส์รูปแบบนี้จะเปิดอ่านบนอินเตอร์เน็ตไม่ได้ ต้องนำไปเปิดอ่านในโปรแกรมที่อยู่บนเครื่องอ่านเท่านั้น
      -Amazon Kindle ต้องมีค่าดูแลรักษา และงบประมาณเพิ่มขึ้น มีการกำหนดควบคุมสำหรับการพิมพ์ และทำสำเนา ใช้ได้ครั้งละ 1 คน
      -Barn & Noble  Google  สิทธิในการให้ยืม มีการจำกัด ต้องซื้อใหม่เมื่อครบกำหนด
      (3)Web Accessible e-Book
      -เป็นหนังสือที่สามารถเปิดอ่านได้ทันที โดยสามารถเปิดอ่านบนเว็บได้ มีทั้งแบบ Proprietary และ Circulation e-Book ห้องสมุดไม่ต้องทำการลงรายการยืม-คืน ผู้ใช้สามารถอ่านได้ทั้งรูปแบบออนไลน์และออฟไลน์ สามารถทำสำเนา หรือสั่งพิมพ์ก็ได้ ใช้คอมพิวเตอร์ในการอ่าน


    • รูปแบบการจัดทำวารสาร มีการจัดทำหลากหลายรูปแบบ ดังนี้
      (1)รูปแบบสิ่งพิมพ์ มีชื่อเฉพาะ มีทั้งแบบที่มีการจัดทำอย่างต่อเนื่องและออกเป็นตอนหรือฉบับ ซึ่งจะมีการรวบรวมบทความต่างๆ ของผู้เขียนไว้หลายคน หากมีการออกตามระยะเวลาที่กำหนดก็จะมีการระบุฉบับไว้อย่างชัดเจน ส่วนระยะเวลาที่ออกนั้นอาจจะไม่มีความแน่นอน คือ ไม่สม่ำเสมอกัน ซึ่งการออกตามระยะเวลาจะไม่มีการกำหนดเวลาในการยุติการพิมพ์ ซึ่งจะเป็นการรวบรวมข้อเขียนหรือบทความที่ให้ความรู้แก่ผู้อ่านจากแหล่งต่างๆ
      (2)รูปแบบย่อส่วน (รูปแบบการจัดเก็บเป็นแบบ Analog) เป็นการนำมาจัดเก็บลงในไมโครฟิล์ม สามารถจัดเก็บได้นาน มีราคาไม่แพง ไม่มีข้อจำกัดเรื่องเทคโนโลยี อีกทั้งยังช่วยประหยัดพื้นที่ในการจัดเก็บ
      (3)รูปแบบซีดี-รอม ในปัจจุบันไม่เป็นที่นิยมแล้ว
      (4)รูปแบบสื่ออิเล็กทรอนิกส์ เช่น e- Journal ซึ่งมีชื่อเรียกที่หลากหลาย เช่น Electronic Journal , Online Journal , Internet Journal เป็นต้น
      ***สำหรับ PDF File  มีรูปแบบไฟล์ขนาดเล็ก ใช้พื้นที่ในการจัดเก็บต่ำ มีซอฟต์แวร์ที่ใช้ในการอ่าน สามารถโหลดและอ่านได้เร็ว จึงได้รับความนิยมในปัจจุบัน 
    • ประเภท
      (1)นำมาทำซ้ำกับฉบับพิมพ์ สำนักพิมพ์วารสารได้จัดทำเสริมวารสารสิ่งพิมพ์ฉบับเดิม โดยนำเสนอเป็นไฟล์ pdf
      (2)นำมาทำเป็น Digital Born เช่น ACM Journal of Experiment , Algorithmics เป็นต้น


    • การจัดทำวารสารอิเล็กทรอนิกส์
      (1)การสแกน โดยนำสิ่งพิมพ์มาสแกนเป็นหนังสืออิเล็กทรอนิกส์  สามารถจัดเก็บแฟ้มข้อมูลในรูปแบบแฟ้มรูปภาพในลักษณะ .pdf , .jpg , .bmp , .tiff ซึ่งการจัดการรูปภาพในลักษณะนี้เรียกว่า "Document Imaging System" ซึ่งระบบจำทำการสแกนภาพให้อยู่ในรูปแบบ Bitmap
      (2)จากกระบวนการพิมพ์ เป็นการผลิตที่คล้ายกับการพิมพ์สิ่งพิมพ์ในลักษณะทั่วไป
      (3)แบบอิเล็กทรอนิกส์ มีการจัดทำวารสารในรูปแบบดิจิตอลและให้บริการผ่านอินเตอร์เน็ต เพื่อให้วารสารที่จัดทำเป็นทรัพยากรสารนิเทศส่วนหนึ่งหรือเป็นบรรณานุกรมของห้องสมุดและให้บริการหน้าสารบัญในรูปแบบดิจิตอล ซึ่งสำนักพิมพ์ส่วนใหญ่จะสร้างเว็บไซต์ด้วยตนเอง

    วันจันทร์ที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

    หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ (e-Book)

    กระบวนวิชา 009304 สิ่งพิมพ์อิเล็กทรอนิกส์

    สรุปเรื่อง หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ (e-Book)


    ประจำวันที่ 11 กรกฏาคม พ.ศ.2554

    ___________________________________

    หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ (e-Book)

    Image

    • ความหมายของหนังสืออิเล็กทรอนิกส์
      หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ (e-Book) หมายถึง หนังสือที่สร้างขึ้นด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์มีลักษณะเป็นเอกสารอิเล็กทรอนิกส์ โดยปกติมักจะเป็นแฟ้มข้อมูลที่สามารถอ่านเอกสารผ่านทางหน้าจอคอมพิวเตอร์ทั้งในระบบออฟไลน์และออนไลน์


    • คุณลักษณะของหนังสืออิเล็กทรอนิกส์
      สามารถเชื่อมโยงไปยังส่วนต่างๆของหนังสือ เว็บไซต์ต่างๆ ตลอดจนมีปฏิสัมพันธ์และโต้ตอบกับผู้เรียนได้ นอกจากนั้นหนังสืออิเล็กทรอนิกส์สามารถแทรกภาพ เสียง ภาพเคลื่อนไหว แบบทดสอบ และสามารถสั่งพิมพ์เอกสารที่ต้องการออกทางเครื่องพิมพ์ได้ อีกประการหนึ่งที่สำคัญ คือ หนังสืออิเล็กทรอนิกส์สามารถปรับปรุงข้อมูลให้ทันสมัยได้ตลอดเวลา ซึ่งคุณสมบัติเหล่านี้จะไม่มีในหนังสือธรรมดาทั่วไป


    • ความแตกต่างของหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ (e-Book) กับหนังสือทั่วไป
      ความแตกต่างของหนังสือทั้งสองประเภทจะอยู่ที่รูปแบบของการสร้าง การผลิต และการใช้งาน เช่น
      (1)หนังสือทั่วไปใช้กระดาษ หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ไม่ใช้กระดาษ
      (2)หนังสือทั่วไปมีข้อความและภาพประกอบธรรมดา หนังสืออิเล็กทรอนิกส์สามารถสร้างให้มีภาพเคลื่อนไหวได้
      (3)หนังสือทั่วไปไม่มีเสียงประกอบ หนังสืออิเล็กทรอนิกส์สามารถใส่เสียงประกบอได้
      (4)หนังสือทั่วไปแก้ไขปรับปรุงได้ยาก หนังสืออิเล็กทรอนิกส์สามารถแก้ไขและปรับปรุงข้อมูล (Update) ได้ง่าย
      (5)หนังสือทั่วไปสมบูรณ์ในตัวเอง หนังสืออิเล็กทรอนิกส์สามารถสร้างจุดเชื่อมโยง (Link) ออกไปเชื่อมต่อกับข้อมูลภายนอกได้
      (6)หนังสือทั่วไปมีต้นทุนในการผลิตสูง หนังสืออิเล็กทรอนิกส์มีต้นทุนในการผลิตหนังสือที่ต่ำ ประหยัด
      (7)หนังสือทั่วไปมีขีดจำกัดในการจัดพิมพ์ หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ไม่มีขีดจำกัดในการจัดพิมพ์ สามารถทำสำเนาได้ง่ายไม่จำกัด
      (8)หนังสือทั่วไปเปิดอ่านจากเล่ม หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ต้องอ่านด้วยโปรแกรมผ่านทางหน้าจอคอมพิวเตอร์
      (9)หนังสือทั่วไปอ่านได้อย่างเดียว หนังสืออิเล็กทรอนิกส์นอกจากอ่านได้แล้วยังสามารถสั่งพิมพ์ (Print) ได้
      (10) หนังสือทั่วไปอ่านได้หนึ่งคนต่อหนึ่งเล่ม หนังสืออิเล็กทรอนิกส์หนึ่งเล่มสามารถอ่านได้พร้อมกันทีละจำนวนมาก (ออนไลน์ผ่านทางอินเตอร์เน็ต)
      (11)หนังสือทั่วไปพกพาลำบาก (เนื่องจาก ต้องใช้พื้นที่) หนังสืออิเล็กทรอนิกส์พกพาได้สะดวก ได้ครั้งละจำนวนมากในรูปแบบของไฟล์คอมพิวเตอร์ ใน Handy Drive หรือ CD
      (12)หนังสืออิเล็กทรอนิกส์เป็นนวัตกรรมที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม


    • ความเป็นมาของหนังสืออิเล็กทรอนิกส์
      หนังสือที่มีอยู่โดยทั่วไป จะมีลักษณะเป็นเอกสารที่จัดพิมพ์ด้วยกระดาษ แต่ด้วยความเปลี่ยนแปลงของยุคสมัย  และความเปลี่ยนแปลงด้านอิเล็กทรอนิกส์ที่มีการพัฒนาต่อเนื่องอย่างไม่หยุดยั้ง ทำให้มีการคิดค้นวิธีการใหม่โดยใช้เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์เข้ามาช่วย จึงได้นำหนังสือดังกล่าวเหล่าน้นมาทำการคัดลอก (Scan) โดยที่หนังสือก็ยังคงสภาพเดิมแต่จะได้ข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ที่เป็นแฟ้มภาพขึ้นมาใหม่ วิธีการต่อจากนั้นก็คือจะนำแฟ้มภาพตัวหนังสือมาผ่านกระบวนการแปลงภาพเป็นตัวหนังสือ (Text) ด้วยการทำ OCR (Opitcal Character Recohnition) คือ การใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์เพื่อแปลงภาพตัวหนังสือให้เป็นตัวหนังสือที่สามารถแก้ไขเพิ่มเติมได้ สำหรับการถ่ายทอดข้อมูลในระยะต่อมา จะถ่ายทอดผ่านทางแป้นพิมพ์ และประมวลผลออกมาเป็นตัวหนังสือและข้อความด้วยคอมพิวเตอร์ ดังนั้น หน้ากระดาษก็เปลี่ยนรูปแบบไปเป็นแฟ้มข้อมูล (Files) แทน ทั้งยังมีความสะดวกต่อการเผยแพร่และจัดพิมพ์เป็นเอกสาร (Document Printing) ส่วนรูปแบบของหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ในยุคแรกนั้นมีลักษณะเป็นเอกสารประเภท .doc , .txt , .rif และ .pdf ไฟล์ ต่อมาเมื่อมีการพัฒนาภาษา HTML (Hypertext Markup Language) ข้อมูลต่างๆ ก็จะถูกออกแบบและตกแต่งในรูปของเว็บไซต์ โดยในแต่ละหน้าของเว็บไซต์เราเรียกว่า "Web Page" โดยสามารถเปิดดูเอกสารเหล่านั้นได้ด้วยบราวเซอร์ (Web Browser) ซึ่งเป็นโปรแกรมประยุกต์ที่สามารถแสดงผลข้อความ ภาพ และการปฏิสัมพันธ์ผ่านระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ต เมื่ออินเทอร์เน็ตได้รับความนิยมมากขึ้น บริษัทไมโครซอฟต์ (Microsoft) ได้ผลิตเอกสารอิเล็กทรอนิกส์ขึ้นมาเพื่อคอยแนะนำในรูปแบบ HTML Help ขึ้นมา มีรูปแบบของไฟล์เป็น .CHM โดยมีตัวอ่าน คือ Microsoft Reader (.LIT) หลังจากนั้นต่อมามีบริษัทผู้ผลิตโปรแกรมคอมพิวเตอร์จำนวนมาก ได้พัฒนาโปรแกรมจนกระทั่งสามารถผลิตเอกสารอิเล็กทรอนิกส์ออกมาเป็นลักษณะเหมือนกับหนังสือทั่วไปได้ เช่น สามารถแทรกข้อความ ภาพ จัดหน้าหนังสือได้ตามความต้องการของผู้ผลิต และที่พิเศษกว่านั้น คือ หนังสืออิเล็กทรอนิกส์เหล่านี้สามารถสร้างจุดเชื่อมโยงเอกสาร (Hypertext) ไปยังเว็บไซต์ที่เกี่ยวข้องอื่นๆ ภายในและภายนอกได้ อีกทั้งยังสามารถแทรกเสียง ภาพเคลื่อนไหวต่างๆ ลงไปในหนังสือได้ โดยคุณสมบัติเหล่านี้ไม่สามารถทำได้ในหนังสือทั่วไป

      แหล่งข้อมูลที่ใช้ในการประกอบการเขียน

      ดร.ไพฑูรย์ ศรีฟ้า
      ภาควิชาเทคโนโลยีการศึกษา ม.เกษตรศาสตร์
      จากหนังสือกลยุทธ์การผลิตหนังสืออิเล็กทรอนิกส์แบบมืออาชีพ
      http://www.uthai.ru.ac.th/km_ut/images/stories/pdf_file/e-books.pdf
    • รูปแบบการจัดทำหนังสืออิเล็กทรอนิกส์
      (1)แต่เดิมจัดทำเป็นสิ่งตีพิมพ์แล้วนำมาปรับเป็นอิเล็กทรอนิกส์ สามารถจัดทำได้หลายแบบ ไม่ว่าจะเป็นการนำหนังสือเก่ามาพิมพ์ใหม่แล้วจัดเก็บให้อยู่ในรูปไฟล์ มีวัตถุประสงค์ในการจัดทำเพื่อที่จะรักษาหนังสือเก่า และสามารถเผยแพร่ให้คนทั่วโลกสามารถอ่านได้ ซึ่งแนวความคิดนี้ริเริ่มมาจาก Project Gutenberg ที่มีการนำสิ่งพิมพ์มาสแกนก็จะได้เป็นไฟล์ภาพที่เป็นตัวหนังสือ ซึ่งยังไม่สามารถทำการเพิ่มเติมหรือแก้ไขได้ นำมาผ่านกระบวนการแปลงภาพตัวหนังสือให้เป็นตัวหนังสือที่สามารถแก้ไขเพิ่มเติมได้ โดยเรียกกระบวนการนี้ว่า OCR (Opitcal Character Recohnition)
      (2)จัดทำในรูปแบบ CD หรือ แผ่นดิสก์ ในแรกเริ่มนั้นได้มีการจัดเก็บลงในแผ่น CD หรือ แผ่นดิสก์ จากนั้นได้เริ่มนำมาจัดเก็บใน Handy Drive เนื่องจากพกพาได้สะดวก และประหยัดพื้นที่ในการจัดเก็บได้เป็นจำนวนมาก จนกระทั่งนำมาแปลงเป็น HTML จึงส่งผลให้ห้องสมุดสามารถสั่งซื้อ สารานุกรมของ Britannica ได้ ซึ่งเป็นสารานุกรมที่มีลักษณะในรูปแบบ HTML Hyperlink ได้ สามารถแสดงภาพ รวมทั้ง Multimedia ทำให้มีลักษณะที่พิเศษกว่าหนังสือที่เป็นสิ่งพิมพ์
      (3)Born Digital เป็นการจัดทำวารสารให้อยู่ในรูปของอิเล็กทรอนิกส์ หรือ วารสารที่ไม่ได้จัดทำเป็นสิ่งพิมพ์มาก่อน เป็นรูปแบบดิจิทัลมาแต่แรก
    • การจัดทำหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ (Publishing Model)
      (1)การจัดทำส่วนบุคคล (Self-Publishing)
      เป็นการจัดทำบนอินเตอร์เน็ตโดยผู้แต่งจัดทำเอง ซึ่งจะช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในการจัดทำได้ เนื่องจาก มีซอฟต์แวร์ในการจัดทำ e-Book ซึ่งสามารถดาวน์โหลดได้ฟรี รวมทั้งอาจจัดทำโดยตัวกลางจัดจำหน่าย เช่น Amazon , Barned & Nobel , Fatbrain เป็นต้น
      (2)การจัดทำเพื่อการค้า (Commercial Publishing)
      เป็นการจัดทำเพื่อจัดจำหน่ายโดยสำนักพิมพ์ในรูปแบบเชิงพาณิชย์ หรือมีเครือข่ายในการจัดทำร่วมกัน
      (3)การจัดทำเพื่อการศึกษาโดยตรง (Education Publishing)
      เป็นการจัดทำเพื่อการเรียนการสอน หรือห้องสมุดอาจเป็นผู้จัดทำขึ้นมาเอง
    • Software สำหรับการจัดทำหนังสืออิเล็กทรอนิกส์
      -ExeBook Self-Publisher
      -e-ditor
      -Mobipocket Publisher 3.0
      -Desktop Author
      -eBookGold
      -E-Book crator
      -Flip Album
    • ข้อดีสำหรับห้องสมุด
      (1)ผู้ใช้สามารถเข้าถึงได้จำนวนมากขึ้นในครั้งเดียว สามารถเข้าพร้อมกันได้ทีละจำนวนมาก
      (2)สามารถจัดการรูปแบบของความร่วมมือในการจัดซื้อ ประหยัดงบประมาณ และสามารถเข้าถึงสารสนเทศได้ในปริมาณที่มากขึ้น
      (3)สามารถสนองความต้องการที่มีความต้องการได้ข้อมูลทันที
      (4)การจัดเก็บสามารถจัดเก็บได้สะดวกขึ้น เนื่องจาก สามารถทำสำเนาได้ง่าย ไม่เปลืองกระดาษ และไม่ต้องทำซ้ำซ้อน ไม่เปลืองเนื้อที่
      (5)ห้องสมุดสามารถจัดทำสิ่งพิมพ์อิเล็กทรอนิกส์และสามารถให้บริการออนไลน์ได้
      (6)เทคโนโลยีใหม่ที่ห้องสมุดนำมาใช้ในการให้บริการได้มากขึ้น เช่น Blog , Wiki , RSS , OSS เป็นต้น
      (7)มีราคาถูกกว่าสิ่งพิมพ์ และรูปแบบการจัดทำสะดวก ห้องสมุดไม่จำเป็นต้องซื้อในรูปแบบที่หลายเหมือนหนังสือ
      (8)การจัดเก็บ สามารถจัดเก็บได้สะดวกมากขึ้น เนื่องจาก สามารถทำสำเนาได้ง่าย และไม่เปลืองกระดาษ และไม่ต้องทำซ้ำซ้อน ไม่เปลืองเนื้อที่ 
      (9)เป็นการลดภาระงานของบรรณารักษ์ในการลงรายการ การขึ้นชั้น การยืม-คืน การตรวจชั้น และการดูแลรักษาได้เป็นอย่างดี
      (10)การบอกรับของห้องสมุดเป็นลักษณะการได้รับอนุญาตให้ใช้ (License) จึงสามารถบอกเลิก บอกรับต่อเนื่อง หรือจัดซื้อเป็นเจ้าของหากผู้ใช้ต้องการมาก
    • ข้อเสียสำหรับห้องสมุด
      Development Model
      (1)ขั้นตอนการจัดทรัพยากรในรูปแบบใหม่ 
          Develop Acquisition and Circulation Models
      (2)บุคลากรต้องได้รับการผึกฝนใหม เกี่ยวกับการจัดการให้บริการ หรือต้องการบุคลากรกลุ่มใหม่
      (3)อุปกรณ์สำหรับร่วมใช้อาจต้องเพิ่มงบประมาณ จัดซื้อ ดูแลรักษา
      (4)การดูแลรักษาอุปกรณ์ที่ต้องให้บริการร่วม Reader Device
      (5)ปัญหาที่อาจเกิดขึ้นจากการขาด Reader Device
      (6)ผู้ใช้ต้องได้รับการอบรม
      (7)การจัดซื้อ การจัดซื้อโดยตรงจากผู้จำหน่าย ผ่านเครดิตการ์ด ซึ่งเป็นปัญหาสำหรับห้องสมุด
      (8)การจัดบริการเป็นเรื่องใหม่ ผู้ผลิตหรือผู้จัดทำอาจไม่มุ่งจัดทำสำหรับห้องสมุด ดังนั้นต้องทำการปรับหรือจัดการให้บริการ ซึ่งการจัดทำอาจมีความแตกต่างกันในด้านรูปแบบ การให้บริการ การเข้าถึงที่มีความหลากหลาย จึงต้องเข้าใจวิธีการตกลง การดูแลเกี่ยวกับการเข้าถึง และการให้บริการที่ต้องทำการตกลงกับผู้ให้บริการ รวมถึงการดูแลสิทธิของการใช้

    วันพฤหัสบดีที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

    พัฒนาการของหนังสือ (The Evolution of Books)

    กระบวนวิชา 009304 สิ่งพิมพ์อิเล็กทรอนิกส์

    สรุปเรื่อง พัฒนาการของหนังสือ (The Evolution of Books)

    ประจำวันที่ 7 กรกฏาคม พ.ศ.2554
    ____________________________________________


    พัฒนาการของหนังสือ (The Evolution of Books)


    • หนังสือ ที่ยังเป็นที่นิยมใช้ในปัจจุบัน แบ่งออกเป็น 2 ประเภท ดังนี้
      (1)สิ่งตีพิมพ์ (Printed materials) ซึ่งมีข้อจำกัด คือ สามารถอ่านได้เพียงอย่างเดียว แต่มีข้อดี คือ ไม่ต้องอาศัยอุปกรณ์หรือเครื่องมือในการอ่าน แต่มีข้อเสีย คือ ต้นทุนที่ใช้ในการผลิตหนังสือสูง เนื่องจาก ใช้จำนวนกระดาษเป็นจำนวนมาก ทำให้มีแนวโน้มที่จะมีราคาสูงขึ้นเรื่อยๆ ในขณะที่สิ่งพิมพ์อิเล็กทรอนิกส์ (e-Book) มีราคาถูกลงมากขึ้น
      (2)สิ่งพิมพ์อิเล็กทรอนิกส์ (e-Book) เป็นหนังสือที่จัดทำในรูปอิเล็กทรอนิกส์หรือดิจิทัล มีข้อดี คือ สามารถใช้อุปกรณ์ในการอ่านได้อย่างหลากหลาย สามารถใช้สื่อในการเข้าถึงได้มาก อีกทั้งมีเครื่องมืออ่าน e-Book โดยเฉพาะ สำหรับลักษณะเด่นของ e-Book นั้นสามารถแสดงภาพเคลื่อนไหวได้ สามารถจัดเก็บเป็นไฟล์ได้หลากหลายรูปแบบ เพื่อให้รองรับต่อการใช้อุปกรณ์หรือเครื่องมือในการอ่าน แต่มีข้อเสีย คือ รูปแบบของไฟล์ข้อมูลจะต้องสอดคล้องกับอุปกรณ์หรือเครื่องมือในการอ่าน โดยจะต้องเป็นไฟล์ที่อุปกรณ์หรือเครื่องมือนั้นสามารถอ่านได้
    • e-Book Format
      (1)e-Pub เป็นไฟล์ที่ดีที่สุดที่สามารถอ่านได้กับอุปกรณ์หรือเครื่องมือทุกชนิด ถือว่าเป็นไฟล์มาตรฐานของ e-Book
      (2)Amazon Kindle
      (3)PDF
      (4)eReader
      (5)mobipocket.prc
      (6)mobipocket.mobi
      (7)Sony.lrf
      (8)PalmDOC
      (9)Plucker
      (10)iSilo
      (11)iPod Notes
      (12)Custom PDF
      (13)RTF
      (14)iPhone PDF
      (15)iPhone Books app
      (16)FictionBook2
      (17)zTXT
      (18)Rocketbook

    • ปัญหาในการใช้ e-Book ที่พบในห้องสมุด
      เนื่องจาก ผู้ใช้แต่ละคนต่างก็มีอุปกรณ์หรือเครื่องมือในการอ่าน e-Book ที่แตกต่างกัน ดังนั้น ห้องสมุดจึงประสบปัญหาในการนำไฟล์ e-Book มาให้บริการแก่ผู้อ่าน  เพราะ อุปกรณ์หรือเครื่องมือของผู้อ่านอาจไม่ยอมอ่านไฟล์ e-Book ทำให้ผู้ใช้ไม่สามารถเปิดไฟล์ e-Book ได้ เนื่องจาก อุปกรณ์หรือเครื่องมือไม่รองรับไฟล์เหล่านั้น
    • การแก้ปัญหาในการอ่านไฟล์ e-Book
      เนื่องจากเกิดปัญหาในการอ่านไฟล์ของ e-Book ที่มีความหลากหลาย จึงได้เกิดแนวคิดขึ้นมาเพื่อจัดทำไฟล์ที่เป็นมาตรฐานของ e-Book โดยที่ไม่ว่าจะเปิดอ่านด้วยอุปกรณ์หรือเครื่องมือใดๆ ก็ไม่เป็นปัญหาในการเปิดไฟล์ e-Book จึงสร้างไฟล์ที่เป็น Open Standard ขึ้นมา ซึ่งก็คือ ไฟล์ e-Pub นอกจากนี้ยังสามารถแปลงไฟล์เพื่อให้เป็นไฟล์ที่อุปกรณ์หรือเครื่องอ่านสามารถอ่านได้อย่างหลากหลาย

    • คุณสมบัติของ e-Book Reader
      (1)ค้นภายในเนื้อหา (Inside Search , Keyword Searching)
      e-Book Reader มีตัว Index อยู่ภายในนั้น ซึ่งเป็นเครื่องมือที่ใช้ค้นเนื้อหาภายในได้ เนื่องจาก การจัดเก็บในลักษณะ e-Book มีการจัดเก็บเป็นไฟล์อิเล็กทรอนิกส์ ดังนั้นจึงสามารถกำหนดคำค้น (Keyword) ภายในไฟล์ได้ตามที่ผู้ใช้ต้องการ เพื่อให้เกิดความสะดวกและรวดเร็วมากขึ้นในการใช้งาน
      (2)บันทึกข้อความ (Note-taking)
      สามารถเพิ่มเติมข้อความหรือความคิดใต้ข้อความหรือภายใต้รูปภาพได้
      (3)คัดลอกและวาง (Copying and Pasting)
      ช่วยประหยัดเวลาหากมีการใช้ข้อความที่เหมือนกันเป็นจำนวนมากภายในงาน
      (4)พจนานุกรม (Dictionary Capabilities)
      เป็นสิ่งที่ช่วยทำให้เข้าใจมากขึ้น ส่งผลให้สามารถอ่านเพื่อทำความเข้าใจได้รวดเร็วขึ้น หากต้องมีการแปลในสิ่งที่เราไม่ทราบความหมายของคำ และอาจมีการเชื่อมโยงไปยังสารานุกรมได้อีกด้วย
      (5)เน้นข้อความ และเพิ่มเติมข้อความ (Allow non-permanent highlighting and annotation)
      อาจจะมีการเน้นข้อความเป็นสีที่แตกต่างกันไป สามารถระบายข้อความที่ต้องการเน้นความสำคัญ เมื่อเวลากลับมาอ่านจะได้สามารถเก็บรายละเอียดที่สำคัญเพื่อใช้ในการทำงานได้รวดเร็วมากยิ่งขึ้น และยังใช้เน้นประเด็นที่ต้องการจดจำเพื่อใช้ในการสอบ นอกจากนี้ยังนำมาเป็นบรรณานิทัศน์ เพื่อนำไปใช้ในการเขียนข้อความได้อีกด้วย
      (6)ปรับขยายตัวอักษร ตำแหน่งการอ่าน
      สามารถปรับตัวอักษรให้มีขนาดใหญ่ตามที่ต้องการได้
      (7)อ่านออกเสียงได้
      ในกรณีที่เป็น Audio Book อาจมีการนำเสียงใส่ประกอบเข้าไปเพื่อใช้ในการสื่ออารมณ์ได้ (Drama)
      (8)มีการเชื่อมโยง (Hyperlink)
      สามารถลิงก์จากหน้าหนึ่งไปยังอีกหน้าหนึ่งได้
      (9)ต่ออินเทอร์เน็ต (Internet) ได้
      (10)สามารถแปลภาษาได้ (Translation) 
    • รูปแบบในการสร้างสื่อสิ่งพิมพ์และอิเล็กทรอนิกส์
      (1)เรียบเรียง (Creation)
      (2)ปรับปรุง (Editing)
      (3)เตรียมพิมพ์ (Pre-press)
      (4)จัดพิมพ์ (Printing)
      (5)การนำออก (Distribution)
      (6)การขาย (Sale) เพื่อส่ง (Delivery)
      (7)ผู้ซื้อ (Consumption)

    วันจันทร์ที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

    ภารกิจในการจัดทำ OA

    กระบวนวิชา 009304 สิ่งพิมพ์อิเล็กทรอนิกส์

    สรุปเรื่อง ภารกิจในการจัดทำ OA


    ประจำวันที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ.2554

    ___________________________________

    ภารกิจในการเข้าถึงเอกสารแบบเปิดระดับมหาวิทยาลัยและแหล่งทุน


    • ภารกิจในการจัดทำ OA
      มหาวิทยาลัยต่างๆ ควรมีการกำหนดภารกิจหรือนโยบายเพื่อส่งเสริมให้มีการทำเอกสารเป็น OA ผู้ที่จัดทำจะต้องเผยแพร่ภายในเวลา 12 เดือน
    • การจัดทำ OA
      OA จะเกิดขึ้นได้ต้องอาศัยความร่วมมือจากหลายๆ กลุ่มด้วยกัน ซึ่งมหาวิทยาลัยต้องให้การยอมรับเรื่องแนวคิด OA รวมทั้งให้การสนับสนุน และกำหนดนโยบายให้มีการจัดทำ OA ขึ้นภายในมหาวิทยาลัยโดยที่ผู้บริหารจะต้องมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการจัดทำ OA เสียก่อน รวมถึงบรรณารักษ์ของห้องสมุดควรมีการประชาสัมพันธ์หรือจัดการสัมมนาเกี่ยวกับ OA ขึ้นมา อีกทั้งยังต้องมีการเดินสายเพื่อติดต่อไปยังหน่วยงานต่างๆ เพื่อให้ OA เป็นที่รู้จักและได้รับการยอมรับมากขึ้น



    • NIH (National  Institutes of Health)
      -เป็นองค์กรที่ให้ทุนวิจัยทางด้านวิทยาศาสตร์ เพื่อให้นำงานวิจัยมาเผยแพร่เป็นเอกสาร OA ในรูปแบบดิจิทัล การจัดทำบทความของ NIH ต้องนำมาจัดทำเป็นเอกสาร OA ซึ่งต้องเป็นบทความที่ได้รับการประเมินคุณภาพจากนักวิชาการ (peer-reveiw) อีกทั้งบทความต้องได้รับการยอมรับให้ตีพิมพ์ลงในวารสาร ในการทำวิจัยต้องนำผลงานมาลงในฐานข้อมูลเพื่อเผยแพร่เป็นเอกสาร OA ซึ่งบทความหรือผลงานทางวิชาการจะถูกเผยแพร่ไปยังฐานข้อมูล Pub med Central (PMC) ออนไลน์ และถูกนำออกเผยแพร่ในระยะเวลาไม่เกิน 12 เดือนหลังจากผลงานถูกนำมาลงในฐานข้อมูล และผู้ใช้สามารถเข้าถึงฐานข้อมูลหรือทำสำเนาบทความทางวิชาการได้โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆ
    • บรรณารักษ์และนักสารสนเทศ
      (1)ต้องศึกษาธุรกิจการพิมพ์ของสำนักพิมพ์ต่างๆ ที่เปลี่ยนไปเมื่อมีการเข้ามาของ OA รวมถึงผลกระทบต่อการสื่อสารทางวิชาการ เพื่อจะนำมาประกอบการตัดสินใจเลือกสำนักพิมพ์ในการตีพิมพ์บทความ
      -บรรณารักษ์ต้องมีการติดตามและมีการเผยแพร่ แนะนำ รวมถึงการประชาสัมพันธ์
      (2)พยายามปฏิเสธข้อเสนอต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ทางด้านฐานข้อมูล
      -เลิกบอกรับวารสารที่มีราคาสูงเกิน ถ้าหากพบว่ามีวารสาร OA ที่ดีกว่า
      -เมื่อมี OA ย่อมนำมาใช้เป็นแนวทางในการแก้ไขปัญหา และอุปสรรคในกรณีที่สิ่งตีพิมพ์มีราคาสูงจนเกินไป
      (3)บรรณารักษ์ควรจัดทำ IR มีการรวบรวมองค์ความรู้ในการจัดทำของมหาวิทยาลัยมาเก็บไว้ภายในหน่วยงานของตน
    • หน้าที่ของบรรณารักษ์
      (1)การจัดทำ OAJ (Open Access Jounal)
      -ควรมีการจัดทำไว้ใน OPAC ของห้องสมุด
      -ควรมีการรวบรวมบทความในวารสารไว้ให้ได้มากที่สุด เพื่อให้ผู้ใช้สืบค้นเพียงครั้งเดียวก็ได้ข้อมูลที่ต้องการได้ในทันที แบบ One-stop-service
      (2)การจัดทำ IR
      -เพื่อช่วยเหลือให้เกิดการเผยแพร่ความรู้ในชุมชน โดยไม่แสวงหาผลกำไร
      -มีการจัดทำบรรณานิทัศน์ให้กับหนังสือหรือบทความในวารสาร

      วันพฤหัสบดีที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2554

      Open Access Journal Publishers

      กระบวนวิชา 009304 สิ่งพิมพ์อิเล็กทรอนิกส์

      สรุปเรื่อง Open Access Journal Publishers


      ประจำวันที่ 30 มิถุนายน พ.ศ.2554

      ___________________________________

      Open Access Journal Publishers  มีการจัดทำในรูปแบบต่างๆ ดังนี้
      1. Born-OA Publishers
        เป็นการจัดทำ OA Journal โดยที่ไม่เคยผ่านการตีพิมพ์มาก่อน และไม่ผ่านการจัดทำเป็นวารสารเชิงพาณิชย์ที่หวังผลกำไร มีการใช้สัญญาอนุญาตลงไปในงานเพื่อให้ผู้ใช้ทราบว่าเป็นผลงานที่สามารถเข้าถึงได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย และมีการจัดทำเป็นแบบสาธารณะ จึงเป็นการจัดทำโดยที่ไม่หวังผลกำไร
      2. Conventional Publishers
        เป็นวารสารเชิงพาณิชย์หรือแบบดั้งเดิมที่มีการตีพิมพ์ผ่านสำนักพิมพ์เพื่อจัดจำหน่ายโดยหวังผลกำไร มีนโยบายเปิดเป็น OA มากขึ้น หากนักเขียนต้องการให้ผลงานของตนเองเป็นที่รู้จักสามารถนำผลงานของตนมาตีพิมพ์กับสำนักพิมพ์ได้ตามความต้องการ 
      3. Non-Traditional Publishers
        เป็นวารสารที่จัดทำโดยนักวิชาการซึ่งไม่หวังผลกำไร จึงไม่ใช่เป็นการจัดทำโดยนำผลงานไปตีพิมพ์ลงในวารสารเชิงพาณิชย์ผ่านสำนักพิมพ์ซึ่งจะมีวัตถุประสงค์ในการจัดทำเพื่อการค้าหรือหวังผลกำไร ดังนั้นจึงเป็นการจัดทำในระดับสถาบันหรือหน่วยงานซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายทั้งหมด ซึ่งการจัดทำวารสารในรูปแบบนี้ควรได้รับการส่งเสริมให้มีการจัดทำเป็นแบบ OA เพื่อให้สามารถเข้าถึงได้ง่ายและไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น 
      4. Hybrid Publishers
        เป็นการจัดทำในรูปแบบของ OA โดยผู้จัดทำผลงานเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายเอง เพื่อให้บทความของผู้เขียนได้ตีพิมพ์ผ่าน OA Journal


        ลักษณะของ Open access Journal (OAJ)
        (1)เป็นเอกสารวิชาการ (Schorlarly) ประกอบด้วยบทความวิจัย ปริทัศน์ บทวิจารณ์หนังสือ บทความวิชาการ
        (2)มี Peer-Review หรือผ่านการตรวจสอบโดยผู้ทรงคุณวุฒิ จึงมีความน่าเชื่อถือ ผู้ใช้สามารถเข้าถึงได้ฟรี เนื่องจากมีการเปิดให้เข้าถึงได้อย่างสาธารณะ
        (3)เป็นเอกสารที่อยู่ในรูปแบบดิจิทัล เพื่อประหยัดพื้นที่ในการจัดเก็บ สามารถเข้าถึงได้อย่างรวดเร็ว และมีความยั่งยืน สามารถปรับเปลี่ยนรูปแบบได้ตลอดเวลา
        (4)สามารถเข้าถึงได้ฟรี ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย
        (5)ผู้เขียนสามารถใช้สัญญาอนุญาต Public Domain เพื่อยกให้เป็นสาธารณสมบัติ ทุกคนสามารถเข้าถึงและสามารถนำเอกสารไปใช้ได้โดยไม่ต้องขออนุญาตจากเจ้าของก่อน
        (6)นิยมใช้สัญญาอนุญาตแบบครีเอทีฟคอมมอน (Creative Commons License) ร่วมกับสัญญาอนุญาตอื่นๆ ได้ เช่น สัญญาอนุญาตเอกสารเสรีของกนู (GNU Free Documentation License) Free Art License  เป็นต้น
        ***สำหรับสัญญาอนุญาต Creative Commons นั้นสามารถกำหนดสิทธิในการนำไปใช้งานของผู้ใช้ได้ ซึ่งผู้ใช้ต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขที่เจ้าของผลงานได้กำหนดไว้

        การทำ OA ในประเทศไทย
        จะพบว่าได้มีการจัดทำ OA ในประเทศไทย แต่ยังมีผู้ใช้อีกเป็นจำนวนมากที่ไม่รู้จักเกี่ยวกับการดำเนินงานในการจัดทำ OA ทั้งนี้ควรจะเป็นหน้าที่ของสถาบันการศึกษาหรือห้องสมุดตามหน่วยงาน สถาบัน หรือองค์กรต่างๆ ควรจะมีการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจัดทำ OA ให้เป็นที่รู้จักมากยิ่งขึ้น อาจมีการจัดทำเว็บบอร์ดเพื่อเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับ OA ให้ผู้ใช้ได้ทราบมากยิ่งขึ้น เนื่องจากใช้เป็นแหล่งที่ใช้ในการจัดเก็บรวบรวมองค์ความรู้ของหน่วยงาน องค์กร หรือสถาบันต่างๆ เพื่อจะเป็นประโยชน์ในการนำความรู้ไปต่อยอดหรือพัฒนาให้มีคุณภาพมากยิ่งขึ้น

      วันจันทร์ที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2554

      กระบวนวิชา 009355 สิ่งพิมพ์อิเล็กทรอนิกส์

      สรุปเรื่อง รูปแบบการนำเสนอ Self-Archiving

      ประจำวันที่ 27 มิถุนายน พ.ศ.2554
      ________________________________


      รูปแบบการทำ OA Publishing

      1. Green OA : OA Publishing or Repositories
        -คลังจัดเก็บเอกสารหรือบทความใดๆ ในระดับสถาบันที่สามารถเก็บข้อมูลได้อย่างมั่งคงถาวร มีความยั่งยืน ทุกคนสามารถเข้าถึงได้ เนื่องจาก มีการเผยแพร่ความรู้เป็นสาธารณะหรือแบบเปิด ซึ่งอาจเป็นความร่วมมือภายในสถาบันหรือระหว่างสถาบันในการจัดทำ หรืออาจเป็นความร่วมมือภายในสถาบันที่มีการจัดทำสาขาวิชาเดียวกันก็ได้ ส่วนมากเน้นในการจัดเก็บพวกเอกสารที่หาได้ยาก 
      2. Gold OA : OA Journal
        -
        เป็นการจัดทำในรูปดิจิทัล หรือ Electronic Journal ซึ่งมีรูปแบบในการให้บริการแบบออนไลน์เป็นส่วนใหญ่ จะไม่นับรวม Grey Literature ซึ่งผู้เขียนจะเป็นผู้จ่ายค่าดำเนินการในการจัดทำเอง หากต้องการให้บทความของตนเป็นที่แพร่หลาย สำหรับในการสืบค้นนั้นหากเป็น OA Journal จะสามารถให้ข้อมูลที่มีความสัมพันธ์เกี่ยวเนื่องกันและตรงกับความต้องการมากกว่า Journal ที่จัดทำโดยการเผยแพร่ผ่านเว็บไซต์

      รูปแบบการนำเสนอ Self-Archiving 
      • Author's Personal Websites
        เป็นเว็บไซต์ส่วนบุคคลของผู้เขียน ซึ่งมีการจัดทำขึ้นมาแล้วสามารถเผยแพร่เว็บไซต์ของตนเองผ่านทางอินเตอร์เน็ตได้ ส่งผลให้สามารถสืบค้นโดยใช้ Search Engine ได้ ก่อให้เกิดความสะดวกในการเข้าถึงข้อมูลได้ง่าย เนื่องจากสามารถเผยแพร่ได้ดี ก่อให้เกิดการแพร่หลาย อีกทั้งผู้จัดทำสามารถทำการนำเข้า แก้ไขปรับปรุง หรือทำฉบับปรับปรุงด้วยตนเองได้ โดยมีการจัดทำในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ เช่น HTML , WORD , PDF เป็นต้น หากมีการนำเอาข้อมูลของผู้จัดทำอื่นๆ มาใช้ต้องมีการอ้างอิงถึงด้วย รวมทั้งผู้จัดทำต้องมีการใส่สัญญาอนุญาตลงไปในผลงานด้วย มิเช่นนั้นอาจทำให้ผู้ใช้เกิดความสับสนว่าเป็นงานที่มีลิขสิทธิ์ได้
      • Disciplinary  Archives
        เป็นคลังจัดเก็บเอกสารระดับสถาบันที่มีการจัดเก็บเฉพาะสาขาวิชา นิยมใช้ Open Source Software เนื่องจาก มีหลักการในการเผยแพร่เพื่อเปิดให้เป็นสาธารณะ ซึ่งโปรแกรมที่นิยมใช้ เช่น E-Prints , DSpace เป็นต้น ซึ่งจะมีการจัดเก็บผลงานของผู้เขียนจากทั่วโลกมารวมไว้ในที่เดียวกัน โดยอาศัยความร่วมมือในระดับสถาบัน องค์กร หรือหน่วยงานต่างๆในการจัดทำ อาจจะมีการจัดทำโดยประเทศใดประเทศหนึ่งก็ได้ ไม่จำเป็นต้องเป็นการจัดทำจากหลายๆ ประเทศทั่วโลก
      • Institutional-Unit Archives
        เป็นการจัดเก็บข้อมูลของหน่วยงานย่อย ภายใต้สถาบันหรือองค์กรนั้นๆ มีการจัดทำในรูปแบบเว็บไซต์ส่วนบุคคลที่นำเอาแนวความคิดแบบ Open Source Software จากรูปแบบการจัดทำแบบ Disciplinary Archives มาใช้ในการจัดทำได้
      • Institutional Repositories
        เป็นคลังจัดเก็บข้อมูลที่เกิดจากความร่วมมือของสถาบันในการจัดทำ ซึ่งการจัดทำนั้นจะมีการรวบรวมเอกสารในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ เช่น E-Print , E-Theses โดยการจัดทำนั้นมีการเผยแพร่ให้เป็นสาธารณะหรือแบบเปิด เพื่อให้ทุกคนสามารถเข้าถึงได้ ก่อให้เกิดการจัดเก็บรวบรวมความรู้ที่หลากหลายมากยิ่งขึ้น จึงจำเป็นต้องมีผู้จัดการดูแล ซึ่งส่วนมากจะเป็นห้องสมุดในระดับสถาบันการศึกษาใหญ่เป็นผู้ดูแล ส่งผลให้มีการเพิ่มจำนวนของคลังจัดเก็บสารสนเทศระดับสถาบันมากขึ้น    

      วันพฤหัสบดีที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2554

      คำที่ควรทราบ

      กระบวนวิชา 009304

      สรุปเรื่อง  Self-Archiving & Imprementing Open Access

      ประจำวันที่  23  มิถุนายน  พ.ศ.2554
      ________________________________

      คำที่ควรทราบ
      --------------------
      Self-Archiving



      1. Preprint (ฉบับสำเนาหรือฉบับก่อนพิมพ์)
        -Draft = ฉบับร่าง
        -เป็นฉบับร่างหรือต้นฉบับของข้อเขียนหรือบทความที่ยังไม่ผ่านการประเมินคุณค่าหรือการตรวจสอบโดยผู้ทรงคุณวุฒิ
        -มีการเขียนเพื่อวัตถุประสงค์ในการส่งตีพิมพ์ในวารสาร เพื่อช่วยกันตรวจสอบหรือแก้ไขปรับปรุงในการนำส่งตีพิมพ์ก่อนนำส่งสำนักพิมพ์
      2. Postprint (ฉบับแก้ไขสมบูรณ์ หรือฉบับที่จะนำมาจัดพิมพ์)
        -เป็นฉบับสมบูรณ์ที่จะนำมาใช้การตีพิมพ์ อาจเป็นฉบับที่สำนักพิมพ์นำมาตีพิมพ์หรือปรับปรุงจากฉบับ Preprint ผู้เขียนปรับปรุงระหว่างรอการประเมินคุณภาพอยู่ในระหว่างการดำเนินงานขอรับการตีพิมพ์
        -ถ้านำไปจัดทำเป็นอิเล็กทรอนิกส์จะเรียกว่า E-Print
      3. Grey Literature (เอกสารหายาก)
        -เป็นเอกสารหายาก เป็นเอกสารที่ไม่มีการเผยแพร่หรือตีพิมพ์โดยทั่วไป มักเผยแพร่เฉพาะกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเท่านั้น มีการตีพิมพ์ในจำนวนที่จำกัดหรือในปริมาณที่น้อย เนื่องจาก มีการเผยแพร่เฉพาะกลุ่ม ไม่มีการตีพิมพ์เพื่อจัดจำหน่ายทางการค้า ไม่ได้ผลิตโดยสำนักพิมพ์เชิงพาณิชย์ หรือไม่เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ทางธุรกิจ ซึ่งเป็นเอกสารที่บุคคลทั่วไปไม่สามารถสืบค้นได้ โดยปกติแล้วจะเป็นงานประเภทรายงานของหน่วยงาน เอกสารการทำงาน เอกสารทางธุรกิจที่จัดทำโดยองค์กรทางธุรกิจ เอกสารการประชุม (Proceeding) หรืออื่นๆ มีการประเมินตรวจสอบเพื่อควบคุมคุณภาพในการจัดทำ มีทั้งที่เป็นเอกสารที่ตีพิมพ์และแผ่นซีดีแทนการแจกหนังสือเป็นเล่ม รวมทั้งอาจมีการเผยแพร่บนอินเทอร์เน็ต ในการจัดทำไม่ได้จัดทำเพื่อธุรกิจหรือการค้าเชิงพาณิชย์

        White Papers (เอกสารเผยแพร่เจตจำนง ความรู้ ความคิดเห็นของตนเอง)

        - จัดทำโดยบุคคลหรือกลุ่มบุคคลที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านจัดทำบทความขึ้นมาเพื่อนำเสนอผลของการพัฒนาในทางธุรกิจ ในการแจ้งให้กับสังคมได้ทราบถึงความเคลื่อนไหวในการจัดทำผลงานทางด้านวิชาการ หรือสิ่งที่ได้มีการค้นคว้าจัดทำซึ่งอยู่ในระหว่างการดำเนินงานและจัดทำอยู่ ถือเป็นการให้การศึกษาแก่ประชาชนทั่วไป  ไม่ใช่เป็นสิ่งที่ใช้ในการโฆษณา เนื่องจากมีการจัดทำขึ้นมาโดยอิงกับข้อเท็จจริงหรือข้อมูลที่อาศัยความจริงปรากฏอยู่ในนั้นด้วย

      4. Errata / Corrigenda
        -เป็นฉบับที่ผู้แต่งได้มีการปรับปรุงแก้ไขให้ถูกต้องด้วยตัวของผู้เขียนเอง โดยไม่ต้องมีใครบอกให้แก้ไขในภายหลัง
      Imprementing Open Access


      1. Green OA / OA Archives or Repositories
        -เป็นแหล่งจัดเก็บข้อมูล โดยจัดเก็บข้อมูลด้วยตนเองภายในเว็บไซต์แล้วทำการเผยแพร่บนอินเตอร์เน็ต มีการควบคุมดูแลโดยผู้เขียนหรืออาศัยบรรณารักษ์เพื่อช่วยในการจัดการดูแล
      2. Gold OA / OA Journal
        -เป็นวารสารที่เปิดโอกาสให้เข้าถึงบทความได้ทันทีหลังจากที่ส่งตีพิมพ์แล้ว

      วันพฤหัสบดีที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2554

      Open Access (OA)

      กระบวนวิชา 009304  การพิมพ์อิเล็กทรอนิกส์

      สรุปเรื่อง Open Acess (OA)

      ประจำวันที่  16  มิถุนายน  พ.ศ.2554
      __________________________________


      เอกสารเปิดสาธารณะ (Open Access : OA)
      ---------------------------------------------------

      • เป็นแนวคิดเปิดเป็นสาธารณะ  สามารถเข้าถึงได้อย่างเสรี
      • ไม่จำกัดสิทธิในการใช้  โดยอนุญาตให้ผู้ใช้สามารถกระทำการเชื่อมโยง คัดลอก  ถ่ายโอนไปใช้  ทำการแจกจ่าย  การทำสำเนา  ทำการดัดแปลง  และนำไปใช้เพื่อการค้าได้โดยไม่ต้องขออนุญาต
      • เอกสารเปิดสาธารณะจะเน้นบทความการวิจัยหรือวิชาการในรูปแบบดิจิทัลที่ให้บริการบนอินเตอร์เน็ต
      • ปัจจุบันครอบคลุมวิทยานิพนธ์  เอกสารการประชุม  เอกสารการสอน  รายงาน  สิ่งพิมพ์รัฐบาล
      • เอกสารเปิดสาธารณะจะไม่หมายรวมถึงนวนิยาย  บทความในนิตยสาร  รวมถึงเว็บไซต์  เช่น  Wikis , Blogs ที่เปิดให้เข้าดูได้  เพราะมีรูปแบบที่เปิดเนื้อหาให้อ่านได้เป็นสาธารณะ  แต่ผู้จัดทำจะยังคงความเป็นเจ้าของเนื้อหาที่ไม่อนุญาตให้นำไปใช้  ยกเว้นมีการแจ้งว่าเป็นเอกสารเปิดสาธารณะ
      • แนวคิดเริ่มเกิดขึ้นในประเทศสหรัฐอเมริกา  จากกลุ่มนักวิชาการสายวิทยาศาสตร์  (Natural Sciences)


      ข้อดีของการจัดทำเอกสารเปิดสาธารณะ
      ----------------------------------------------------
      • แนวคิดการจัดทำเอกสารเปิดสาธารณะเป็นสิ่งที่ทำประโยชน์ให้กับสังคม  หรือที่เรียกว่า  Public Goods  เนื่องจาก  ทุกคนสามารถเข้าถึงสิ่งเหล่านี้ได้โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย  ช่วยทำให้เกิดการกระจายองค์ความรู้ได้อย่างทั่วถึง  อีกทั้งทุกคนสามารถเข้าถึงได้ทุกที่ทุกเวลาตามที่ต้องการ  
      • สามารถนำไปเผยแพร่สู่สาธารณะได้อย่างรวดเร็ว   ก่อให้เกิดการพัฒนาต่อยอดความรู้ได้เร็วขึ้น  ย่อมช่วยให้โลกสามารถพัฒนาได้รวดเร็วมากขึ้นตามไปด้วย
      • การจัดทำเอกสารเปิดสาธารณะสามารถเผยแพร่ขึ้นสู่อินเตอร์เน็ตได้อย่างรวดเร็ว  ก่อให้เกิดการกระจายความรู้ใหม่ๆสู่ผุ้อ่านได้เร็วมากขึ้น  ความรู้ที่เผยแพร่ย่อมมีความทันสมัย  ทันต่อเหตุการณ์ในปัจจุบัน  หากเป็นสิ่งพิมพ์  กว่าจะได้มีการจัดพิมพ์ก็ต้องใช้ระยะเวลานาน  ส่งผลให้ความรู้ถึงผู้อ่านได้ช้า  ความรู้ที่ผู้อ่านได้รับจึงกลายเป็นความรู้ที่ล้าหลังไปแล้วเป็นเวลาหลายปี
      • ความรู้สามารถเผยแพร่สู่ผู้อ่านได้ทันทีอย่างรวดเร็ว  ทำให้ผู้อ่านได้รับความรู้ใหม่ๆได้ทันที
      • มีความรวดเร็วในการจัดทำ  เนื่องจากสามารถจัดทำได้ง่ายและสามารถปรับปรุงแก้ไขได้ในภายหลัง


      สรุปเกี่ยวกับลักษณะของเอกสารเปิดสาธารณะ
      ----------------------------------------------------------


      • สัญลักษณ์มีลักษณะเป็นตัวอักษร C  กลับหัวแสดงว่าเป็นงานสาธารณะ (Copyleft)  ซึ่งจะตรงข้ามกับสัญลักษณ์ของ Copyright ซึ่งเป็นงานที่สงวนลิขสิทธิ์ในการเผยแพร่
      • แต่เดิมนั้นเอกสารเปิดสาธารณะ  หมายถึง  บทความทางด้านวิชาการในรูปแบบดิจิทัลที่ให้บริการบนเครือข่ายอินเตอร์เน็ตเท่านั้น
      • ปัจจุบันครอบคลุมถึงวิทยานิพนธ์  เอกสารสัมมนา  การประชุม  เอกสารการสอน  และสื่อโสตทัศนวัสดุ  เช่น  วิดีโอ  เพลง  ภาพ
      • เกิดแนวคิดปฏิเสธการนำผลงานของนักวิชาการไปเป็นสินค้าขายเป็นกำไรของบริษัท  ทุกผลงานที่นำไปขายต้องนำเสนอให้เป็นสาธารณะ
      • เอกสารเปิดสาธารณะมีแนวคิดที่สำคัญ  คือ  สิทธิหรือลิขสิทธิ์ยังเป็นของผู้เขียน  มีกฎหมายลิขสิทธิ์ครอบคลุม  ผู้เขียนหรือผู้จัดทำสิ่งพิมพ์ต้องทำการอนุญาต  โดยมี  License  อนุญาตให้นำไปทำได้อย่างไรได้บ้าง  เช่น  Copy  ทำสำเนา  ดัดแปลง  อนุญาตสิทธิบางประการให้กับผู้ใช้ที่นำผลงานไปใช้
      • การนำไปใช้งานขึ้นอยู่กับว่าผู้ที่เป็นเจ้าของอนุญาตให้นำผลงานไปใช้ได้อย่างไรได้บ้าง  โดยที่เมื่อนำไปใช้แล้วไม่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อผู้เป็นเจ้าของ  ซึ่งอาจจะมีการจำกัดสิทธิบางประการหากมีการนำไปใช้งาน

      พัฒนาการที่ทำให้เกิดเอกสารเปิดสาธารณะ
      ------------------------------------------------------
      • E-Publishing  มีการจัดทำสิ่งพิมพ์อิเล็กทรอนิกส์เพิ่มมากขึ้น  เนื่องจาก  การจัดทำสิ่งพิมพ์อิเล็กทรอนิกส์สามารถเผยแพร่ข้อมูลได้ง่ายและสะดวกรวดเร็วกว่าสิ่งพิมพ์  สามารถเข้าถึงได้ทุกที่ทุกเวลา  ทุกคนสามารถเข้าถึงได้อย่างเท่าเทียมกัน  และเข้าถึงได้พร้อมกันทีละหลายคน  อีกทั้ง  ยังมีราคาถูกกว่า  นับเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายของห้องสมุดได้เป็นอย่างดี 
      • The Internet  ช่วยส่งเสริมให้เกิดการพัฒนาเอกสารสาธารณะมากยิ่งขึ้น  เนื่องจาก  การทำสิ่งพิมพ์อิเล็กทรอนิกส์สามารถจัดทำได้ง่ายและใช้ต้นทุนต่ำในการจัดทำ  รวมทั้งสามารถนำเสนอเพื่อเผยแพร่ผลงานทำได้อย่างสะดวกและรวดเร็ว  โดยไม่ต้องอาศัยสำนักพิมพ์เป็นตัวกลางในการเผยแพร่ผลงาน
      • The Prices of Journals ในปัจจุบันห้องสมุดประสบกับปัญหาราคาวารสารสิ่งพิมพ์สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง  ห้องสมุดจึงเลือกที่จะบอกรับวารสารสิ่งพิมพ์ที่เป็นอิเล็กทรอนิกส์แทน  เพื่อช่วยประหยัดค่าใช้จ่าย  อีกทั้งยังช่วยประหยัดค่าจัดส่งสิ่งพิมพ์  ค่ากระดาษในการตีพิมพ์สิ่งพิมพ์  รวมถึงช่วยในการประหยัดพื้นที่ในการจัดเก็บสิ่งพิมพ์  เพราะ  อาศัยคอมพิวเตอร์ในการจัดเก็บ  และคอมพิวเตอร์สามารถจัดเก็บข้อมูลได้เป็นจำนวนมาก  นอกจากนี้ยังไม่ต้องเสียค่าดูแลรักษาความปลอดภัยของวารสารสิ่งพิมพ์  ค่าใช้จ่ายในการดูแลบำรุงรักษาสิ่งพิมพ์  ซึ่งสามารถชำรุดเสียหายได้ง่าย  และที่สำคัญช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในการสั่งซื้อสิ่งพิมพ์เข้าห้องสมุด  เนื่องจาก  การบอกรับฐานข้อมูลที่จัดเก็บสิ่งพิมพ์อิเล็กทรอนิกส์มีราคาถูกกว่าสิ่งพิมพ์ที่ตีพิมพ์ 

      วันจันทร์ที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2554

      Institutional Repositories and Trend E-Publishing

      กระบวนวิชา  009304  การพิมพ์อิเล็กทรอนิกส์

      สรุปเรื่อง  Institutional Repositories & Trend E-Publishing

      ประจำวันที่  13  มิถุนายน  พ.ศ.2554
      ________________________________

      Institutional  Repositories (IR)
      -------------------------------------------------



      • ความหมายของ  Institutional  Repositories (IR)
        Institutional  Repositories (IR)  หมายถึง  คลังจัดเก็บข้อมูล  หรือ  คลังจัดเก็บเอกสารในระดับสถาบัน
      • คุณลักษณะที่สำคัญของการเป็นคลังเก็บสารสนเทศระดับสถาบันต้องประกอบไปด้วย 
        (1)มีเนื้อหาที่เป็นดิจิทัล (Digital Content)  ซึ่งหมายความว่า  ในระบบของการจัดเก็บสารสนเทศในระดับสถาบันต้องมีการเก็บผลงานในรูปแบบที่เป็นดิจิทัลเท่่านั้น  เนื่องจาก  การจัดทำคลังเก็บสารสนเทศระดับสถาบันจะต้องนำมาจัดทำเป็นอิเล็กทรอนิกส์
        (2)การจัดทำคลังจัดเก็บสารสนเทศระดับสถาบันจะเน้นการจัดเก็บในส่วนของสมาชิกในสถาบันเท่านั้น 
        (3)เนื้อหาที่นำมาจัดเก็ลในคลังเก็บสารสนเทศระดับสถาบันนั้นจะเน้นการจัดเก็บเนื้อหาทางวิชาการ (Scholarly Content) ในการมุ่งเน้นให้เป็นคลังเก็บสารสนเทศระดับสถาบัน เพื่อให้เกิดการรวบรวม  สงวนรักษา  และเผยแพร่ผลงานทางวิชาการในรูปแบบที่อาจจะเป็นผลงานก่อนตีพิมพ์  และผลงานที่อยู่ในระหว่างการดำเนินงาน  รวมถึงบทความที่อยู่ในระหว่างการพิจารณา  หนังสือ  สื่อการสอน  ชุดข้อมูล  บทความเสนอการประชุม  วิทยานิพนธ์อิเล็กทรอนิกส์  และวรรณกรรมที่ไม่นำมาตีพิมพ์  ซึ่งในการข้าถึงเนื้อหาทางวิชาการเหล่านี้  จำเป็นที่จะต้องผ่านการควบคุมและการจัดการ  รวมทั้งอาศัยนโยบายและกลไกที่เหมาะสม  รวมไปถึงการบริหารจัดการด้านเนื้อหาและระบบการควบคุมเอกสาร (Document Version Control Systems) กรอบนโยบายและโครงสร้างพื้นฐานทางเทคนิคของคลังเก็บต้องเอื้ออำนวยให้ผู้จัดการคลังเก็บมีความยืดหยุ่นต่อการควบคุมระบบ  มีการมุ่งเน้นว่าใครเป็นผู้ที่สามารถรองรับ (Approve) เข้าถึง (Access) แก้ไข (Update) ผลงานดิจิทัลเหล่านั้นที่มีแหล่งที่มาแตกต่างกัน
        (4)การเป็นคลังจัดเก็บสารสนเทศในระดับสถาบันจะต้องมีการรวบรวมผลงานเข้าคลังจัดเก็บ  เมื่อนำเข้าแล้วก็ไม่ควรที่จะนำออกจากคลังจัดเก็บ  เว้นแต่ในกรณีที่มีเหตุจำเป็น  อาจจะมีเหตุเนื่องมาจากผลงานที่นำมาจัดเก็บนั้นได้ละเมิดสิขสิทธิ์  เป็นต้น  จึงต้องมีการพัฒนากฎเกณฑ์และนโยบาย รวมท้งนำระบบการจัดการสิทธิ์เข้ามาประยุกต์ใช้เพื่อให้ได้รับการอนุญาตให้สามารถเข้าถึงเนื้อหาในคลังเก็บทั้งจากภายในและภายนอกหน่วยงาน  อีกทั้งต้องมีการจัดการระบบการสงวนรักษาผลงาน  เพือให้สามารถเข้าถึงได้ในระยะยาว  โดยที่ไม่ถูกจำกัดในเรื่องของระยะเวลาได้  นับว่าเป็นการช่วยเพิ่มจำนวนของผลงานให้มีความหลากหลายมากขึ้นในสถาบันและยังเป็นสิ่งที่แสดงถึงความยั่งยืนของสถาบันได้เป็นอย่างดี
        (5)มีความร่วมมือในการทำงานเพื่อให้เกิดการเข้าถึงได้อย่างเสรีโดยไม่ถูกปิดกั้น (Interoperable and open  access)  ซึ่งเป็นคุณลักษณะที่สำคัญของการเป็นคลังจัดเก็บสารสนเทศในระดับสถาบัน  ซึ่งจะช่วยลดปัญหาในการเข้าถึงให้น้อยที่สุด  
      • สรุปลักษณะของคลังเก็บสารสนเทศระดับสถาบัน
        -เป็นการจัดเก็บความรู้ที่อยู่ในองค์กรหรือหน่วยงานภายในประเทศนั้นๆ
        -เป็นการจัดเก็บที่ห้องสมุดร่วมมือกันจัดทำคลังจัดเก็บความรู้เพื่อจัดเก็บองค์ความรู้ที่มีอยู่ภายในแต่ละห้องสมุด  เช่น  หนังสือ  เอกสารสัมมนา  รายงานการประชุมวิชาการ  สื่อการสอน  การวิจัย  วิทยานิพนธ์  เป็นต้น
        -แต่เดิมการจัดเก็บความรู้อยู่ในรูปของสิ่งพิมพ์ (Printed Material)  แล้วนำมาสแกนให้อยู่ในรูปของสิ่งพิมพ์อิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Plublishing) เพื่อให้ง่ายต่อการใช้งานมากขึ้น  สามารถเข้าถึงได้ง่าย  สะดวกและรวดเร็ว  เข้าถึงได้พร้อมกันเป็นจำนวนมาก  อีกทั้งยังช่วยให้สามารถเข้าถึงได้อย่างเท่าเทียมกันทุกคน  รวมทั้งเข้าถึงได้ทุกที่ทุกเวลา  นับว่าเป็นการช่วยลดข้อจำกัดของสิ่งพิมพ์ที่ไม่สามารถทำได้อย่างสิ่งพิมพ์อิเล็กทรอนิกส์ 
      • ข้อดีของคลังเก็บสารสนเทศระดับสถาบัน
        -สามารถเข้าถึงได้ในระยะยาว  สามารถเปิดอ่านได้หลายครั้งโดยที่ไม่ทำให้เกิดความเสียหายต่อทรัพยากรสารสนเทศ  อย่างเช่น  ทรัพยากรสารสนเทศประเภทสิ่งพิมพ์  หากมีการเปิดอ่านหลายครั้ง  ย่อมทำให้เกิดการชำรุด  เสียหาย  และฉีกขาดได้ง่าย  ซึ่งสิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นข้อจำกัดของทรัพยาการสารสนเทศที่เป็นสิ่งพิมพ์  ในทางตรงกันข้าม  หากเป็นทรัพยากรอิเล็กทรอนิกส์ไม่ว่าจะเปิดอ่านหลายครั้ง  ก็ไม่ทำให้ทรัพยากรเกิดความเสียหาย  ทรัพยากรก็ยังคงมีสภาพเดิมอยู่และไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด  หากไม่มีการลบออกจากฐานข้อมูล  ก็จะยังคงอยู่ตลอดไป 
      • ประโยชน์ของการมีคลังเก็บสารสนเทศระดับสถาบัน
        1)ทำให้เกิดระบบการรวบรวม  สงวนรักษา  และเผยแพร่เนื้อหาทางวิชาการ
        2)เป็นเสมือนตัวชี้วัดของคุณภาพทางวิชาของมหาวิทยาลัย  หน่วยงานวิจัย  โดยมุ่งที่รวมเอางานทางปัญญาของมหาวิทยาลัย  หน่วยงานวิจัยมาไว้ในที่เดียวกัน  และสามารถเข้าถึงได้ทั่วโลก
        3)เป็นการสงวนรักษาทรัพย์สินทางปัญญาในรูปดิจิทัล
        4)เป็นเสมือนพื็นฐานของกระบวนทัศน์ใหม่ในการพิมพ์ผลงานทางวิชาการ
        5)เป็นการสื่อสารทางวิชาการ (Scholarly Communication)
        6)เป็นการจัดการความรู้
        7)เป้นการสนับสนุนเรื่องการเข้าถึงโดยเสรี

      แหล่งข้อมูลที่ใช้ในการประกอบการเขียน

      สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.)

      Trend E-Publishing
      ----------------------------



      • ความหมายของ E-Publishing
        E-Publishing หมายถึง  ข้อความ  ภาพ  และสื่อมัลติมีเดียที่นำเสนอในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ซึ่งประกอบไปด้วยเนื้อหา  เรื่องเล่า  งานเขียน  วรรณกรรมออนไลน์  เช่น Blog , Wiki , Webpages  บทกวีที่ส่งผ่านอีเมล์  เป็นต้น  นอกจากนี้ยังหมายรวมถึง  กระบวนการจัดทำหรือผลิตสิ่งพิมพ์ให้อยู่ในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์  ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบ (Formatted) การเข้ารหัส (Encryted) การป้องกันความปลอดภัย (Security) การเผยแพร่ (Published)


      • ประโยชน์ของ E-Publishing
        (1)ลดการใช้กระดาษ , พลังงาน , สิ่งแวดล้อม , ธรรมชาติ
        (2)มีความสะดวกและสามารถจัดการได้ง่ายในการปรับปรุงแก้ไข
        (3)ช่วยทำให้ได้เอกสารที่มีคุณค่าด้วยระบบหรือวิธีการที่รวดเร็ว
        (4)มีความสะดวกต่อการศึกษา
        (5)ง่ายต่อการสืบค้น
        (6)มีความคงทน
        (7)สามารถนำเสนอในรูปแบบของสื่อมัลติมีเดียได้  สามารถใช้สื่่อประกอบการนำเสนอได้หลากหลาย
        (8)เป็นการเปิดโอกาสให้กับผู้ที่สนใจจะมาเป็นนักเขียน  ซึ่งเป็นการช่วยสนับสนุนนักเขียนหน้าใหม่ให้เกิดขึ้น
        (9)ช่วยพัฒนาสื่อความรู้หรือสื่อประกอบการเรียนการสอนให้มีความน่าสนใจมากยิ่งขึ้น
        (10)เป็นการสร้างมูลค่าให้กับ E-Library หรือ E-Learning  ให้มีคุณค่าเพิ่มมากขึ้น


      • ข้อเสียของ E-Publishing
        (1)มีการลงทุนสูงในขั้นตอนเริ่มต้นในการจัดทำ
        (2)อาจทำให้เกิดปัญหาในการอ่าน เช่น  ขนาดของหน้าจอ  ขนาดตัวหนังสือ  ความคมชัด  เป็นต้น
        (3)ก่อให้เกิดการละเมิดสิทธิ์ได้ง่ายขึ้น  เพราะสามารถเข้าถึงได้ง่ายทุกที่ทุกเวลา
        (4)ลดความสำคัญในมาตรฐานให้น้อยลง  ขาดการจัดการรูปแบบที่ดี  เนื่องจาก  ไม่ต้องผ่านกระบวนการตีพิมพ์
        (5)เทคโนโลยีมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง  อาจทำให้เกิดการล้าสมัยได้เร็วขึ้น  อีกทั้งไม่มีงบประมาณที่เพียงพอในการติดตามให้ทันต่อเทคโนโลยีที่เกิดขึ้นใหม่ๆในภายหลังได้ทันที


      • แนวโน้มของ E-Publishing (Trend E-Publishing)
        -E-Publishing มีแนวโน้มที่เพิ่มมากขึ้นเรือยๆ  ซึ่งจะมาแทนที่สิ่งตีพิมพ์  เนื่องจาก  เป็นการช่วยประหยัดพื้นที่ในการจัดเก็บได้มาก  อาศัยพื้นที่การจัดเก็บโดยใช้คอมพิวเตอร์เพียงไม่กี่เครื่อง  และยังสามารถเข้าถึงได้อย่างสะดวกรวดเร็ว  ง่ายต่อการสืบค้น  และยังเข้าถึงได้ทุกทีทุกเวลา  ซึ่งต่างจากสิ่งตีพิมพ์หากต้องการจะได้ข้อมูลจะต้องไปค้นหาที่ห้องสมุดเพียงอย่างเดียวเท่านั้น  ซึ่งทำให้เกิดความยากลำบากในการได้มาซึ่งข้อมูล  อีกทั้งยังมีข้อจำกัดในเรื่องของเวลา  หากห้องสมุดปิดก็ไม่สามารถสืบค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมต่อไปได้  E-Publishing จึงเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่จะช่วยให้เกิดการเผยแพร่องค์ความรู้ที่มีอยู่บนโลกใบนี้ให้สามารถเกิดการกระจายได้อย่างทั่วถึงและมีความเท่าเทียมกันในการเข้าถึง  สามารถเข้าถึงได้จำนวนมากขึ้น  ไม่มีข้อจำกัดในเรื่องของจำนวนทรัพยากรสารสนเทศในรูปของสิ่งตีพิมพ์ที่มีไม่เพียงพอต่อผู้ใช้งาน และที่สำคัญช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในการสั่งซื้อทรัพยากรสารสนเทศที่เป็นสิ่งพิมพ์  เนื่องจากมีแนวโน้มว่าจะมีราคาสูงขึ้น  จึงเห็นได้ว่าในปัจจุบันนี้ห้องสมุดเลือกที่จะบอกรับฐานข้อมูลมากกว่าที่จะบอกรับหรือสั่งซื้อสิ่งตีพิมพ์  เนื่องจากข้อจำกัดในด้านงบประมาณของห้องสมุดที่ยังคงได้รับเท่าเดิม  แต่ทรัพยากรสารสนเทศที่เป็นสิ่งตีพิมพ์มีแนวโน้มที่จะมีราคาเพิ่มสูงขึ้นเรื่อย  ดังนั้น  สิ่งพิมพ์อิเล็กทรอนิกส์จึงได้รับความนิยมมากขึ้นในปัจจุบันอย่างต่อเนื่อง

      แหล่งข้อมูลที่ใช้ในการประกอบการเขียน
      คุณบุญเลิศ อรุณพิบูลย์
      ศูนย์บริการความรู้ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (ศวท.)
      สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ
      http://www.stks.or.th/web/index2.php?option=com_docman&task=doc_view&gid=665&Itemid=24

      WebOmetrics
      ---------------------

      • ความหมายของ WebOmetrics
        -WebOmetric ย่อมาจาก WebOmetrics Ranking of World Universities  หรือ Ranking Web of World Universities เป็นการจัดลำดับให้กับมหาวิทยาลัยทั่วโลกว่ามหาวิทยาลัยใดเป็นแหล่งเผยแพร่ข้อมูลทางวิชาการที่ดีที่สุดในโลก  ซึ่งวัดจากการมีจำนวนปริมาณข้อมูลทางวิชาการเป็นจำนวนมากที่สุด  หากยิ่งสร้างได้มากเท่าไหร่  ก็ยิ่งมีผลต่อค่า Impact Factor มากขึ้นตามไปด้วย
        -การจัดลำดับโดย Webometrics มาจากความเชื่อที่ว่าเว็บไซต์จะเป็นแหล่งเผยแพร่ข้อมูลทางวิชาการที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก จึงส่งผลให้สิ่งพิมพ์อิเล็กทรอนิกส์สามารถเข้าถึงได้ง่ายกว่าสิ่งตีพิมพ์  ดังนั้น WebOmetric จึงเป็นการวัดปริมาณเนื้อหาที่สร้างขึ้น  โดยเน้นการเผยแพร่ผลงานทางวิชาการผ่านทางเว็บไซต์  รวมทั้งการปรากฎตัวบนอินเทอร์เน็ต  และดูจำนวนลิงก์จากเว็บไซต์ภายนอกทั่วโลกที่ทำลิงก์มายังเว็บเพจ  หรือวัดผลกระทบการอ้างอิงตามจำนวนของลิงก์ที่ได้รับจากภายนอก  แล้วทำการจัดลำดับโดยใช้ดัชนีจาก Web Impact Factor หรือ WIF

      แหล่งข้อมูลที่ใช้ในการประกอบการเขียน
      คุณรุจเรขา วิทยาวุฑฒิกุล
      มหาวิทยาลัยมหิดล